............เคยเขียนไว้นานแล้วใช้ชื่อ ธนัญธร คนใส่เสื้อเหลืองแดงนั่นแหละ ก็แฟนผมเอง เขาอยากมีเวบ เลยเขียนฝากออนไลน์บนเวบ ปรากฏว่าเลิกใช้เวบนั้นแล้ว แต่ข้อเขียนเรื่องนี้ยัง
ปรากฏบนกูเกิล ไปพบเข้าเลยคัดลอกมาอ่านดู และปรับปรุงให้ดีขึ้น
และนำมารวมไว้ที่เวบบลอคของเราเอง
ขุนทอง ศรีประจง
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
.........ผมชอบแต่งร้อยกรอง ตอนจบ กศ.บ.เอกภาษาไทย เขาให้ทำหน้าที่หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย ควบกับผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิชาการ
ที่ต้องควบเพราะหัวหน้าคนเดิมขอย้ายกลับภูมิลำเนา ยังหาคนใหม่ไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยากเป็นเลยรับไว้ชั่วคราว
เขาให้ช่วยสอนวรรณคดีไทย ไม่มากหรอกแค่ 6-12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตอนไปสอนวรรณคดีไทย
บางครั้งต้องสอนฉันทลักษณ์ร้อยกรองด้วย ก็เลยตั้งใจว่าจะฝึกเขียนร้อยกรองให้ได้ ทำอย่างไรล่ะ....ลองหยิบกาพย์ยานีมาฝึกก่อนเพราะใช้คำน้อยพยายามเขียนทุกโอกาสที่อยากเขียน
ไปสังเกตการสอนครูที่เขาสอนภาษาไทยเก่ง ๆ ที่ กทม. ลองบันทึกสังเกตการสอนครูเขาเป็นกาพย์ยานี
เขียนบันทึกได้ทันใจดี ตอนไหนไม่ทันก็ข้าม มาแต่งเสริมภายหลัง อ่านดูก็ ขำ ๆนะเออ เราก็เก่งใช้ได้...เลยนะนี่
อดโม้ไม่ได้ คิดในใจหรอกน่า...
...วันหนึ่งก็หยิบนิทานเดอร์ตี้โจ้ก ภาษาถิ่นเราเรียก “นิทานก้อม” แบบพ่อตากับลูกเขย ลูกเขยกับแม่ยาย พี่เขยกับน้องเมีย หลวงตากับจัวน้อย ทำนองนี้ เอามาเขียนใช้เป็นโครงเรืองเขียนกาพย์เล่น..... เพื่อนมาอ่านชอบใจมาขออ่านอยู่เรื่อย อ้อมีกว่า 30 เรื่อง แต่เผยแพร่ไม่ได้ บทอัศจรรย์มันเยอะไป เขียนกาพย์มาก ๆ จนกระทั่งสามารถว่ากาพย์แบบปากเปล่าได้ ก็คือกาพย์ยานี นั่นแหละ ส่วนการแต่งกลอนมาเริ่มเขียนจริง ๆตอนเรียนวรรณ กรรมนิราศ หลักสูตร กศ.บ. ปี 2519 ครูให้เขียนนิราศส่งเป็นภาคนิพนธ์คนละเรื่อง ความยาว 3-5 หน้ากระดาษ พิมพ์หน้าละ 40 รรทัด บรรทัดละ 2 วรรค รวมต้องพิมพ์อย่างน้อย 120 บรรทัด ยาวมาก ๆ จนนอนไม่หลับกลัวจะทำไม่ได้ ไปอ่านนิราศต่าง ๆที่ห้องสมุดจนหลับคาหนังสือ ในที่สุดก็ได้คิดว่าน่าจะลองเขียนกลอนนิราศดูบ้าง
...........กางสมุดแผนผังกลอนไว้แล้วก็หลับตานึกถึงการที่เราเดินทางจากบ้านจะมาที่มหาวิทยาลัยมาอย่างไรนะ..... นั่งรถจักรยานยนต์ เมียมาส่งคิวรถ นั่งรถยนต์รวดเดียวไปยัง ขนส่งปลายทาง ต่อรถสามล้อเข้าหอพัก จบการเดินทาง จากนั้นก็นึกหัวข้อ จะเขียนอะไร จุดประสงค์จากบ้าน ลาบุตรภรรยา ขอบคุณสิ่งศักด์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง ภรรยาไปส่ง บขส. ขอบคุณเธอ ฝากดูแลบุตรธิดา ..ฯลฯ......เข้าหอพักที่มหาวิทยาลัย รวมแล้วได้มากกว่า 70 หัวข้อ สบายมาก ลงมือเขียนเล่าเป็นกลอนแปด ปรากฏว่ายาวถึงห้าหน้ากระดาษ ส่งครูผู้สอนไปวิชานี้ได้เกรด เอ บวก ไม่เลวนักหรอก
...........หลังจากนั้นแต่งกลอนบ่อยมาก เอาอย่างแต่งกาพย์ยานีที่เคยฝึกมาแล้ว บทอวยพรต่าง ๆ ใครอยากได้ วานให้เขียน ได้เลย มากมายนับได้เกินร้อยสำนวน ที่แต่งเป็นนิราศก็มี จนวันหนึ่งอยากรู้ผลงานที่เคยเขียนมันมี ข้อบกพร่องอะไรบ้าง พบว่าบางบท บางเรื่อง หักคะแนนได้แทบไม่เหลือคะแนนที่ได้เลย วันนี้ก็เลยนึกอยากนำ ข้อบกพร่องที่เจอมาเขียนไว้ให้ลูกหลาน อ่าน ดู จะได้รู้ว่า เราคิดว่าตัวเองเก่งเหลือหลาย ว่ากลอนปากเปล่าได้ไม่ติดขัด แต่กลอนก็มีข้อบกพร่อง ตั้งแต่บกพร่องเล็กน้อย ไปจนบกพร่องมาก ๆ ดังจะนำมาเล่าให้ฟัง ดังนี้.....
...วันหนึ่งก็หยิบนิทานเดอร์ตี้โจ้ก ภาษาถิ่นเราเรียก “นิทานก้อม” แบบพ่อตากับลูกเขย ลูกเขยกับแม่ยาย พี่เขยกับน้องเมีย หลวงตากับจัวน้อย ทำนองนี้ เอามาเขียนใช้เป็นโครงเรืองเขียนกาพย์เล่น..... เพื่อนมาอ่านชอบใจมาขออ่านอยู่เรื่อย อ้อมีกว่า 30 เรื่อง แต่เผยแพร่ไม่ได้ บทอัศจรรย์มันเยอะไป เขียนกาพย์มาก ๆ จนกระทั่งสามารถว่ากาพย์แบบปากเปล่าได้ ก็คือกาพย์ยานี นั่นแหละ ส่วนการแต่งกลอนมาเริ่มเขียนจริง ๆตอนเรียนวรรณ กรรมนิราศ หลักสูตร กศ.บ. ปี 2519 ครูให้เขียนนิราศส่งเป็นภาคนิพนธ์คนละเรื่อง ความยาว 3-5 หน้ากระดาษ พิมพ์หน้าละ 40 รรทัด บรรทัดละ 2 วรรค รวมต้องพิมพ์อย่างน้อย 120 บรรทัด ยาวมาก ๆ จนนอนไม่หลับกลัวจะทำไม่ได้ ไปอ่านนิราศต่าง ๆที่ห้องสมุดจนหลับคาหนังสือ ในที่สุดก็ได้คิดว่าน่าจะลองเขียนกลอนนิราศดูบ้าง
...........กางสมุดแผนผังกลอนไว้แล้วก็หลับตานึกถึงการที่เราเดินทางจากบ้านจะมาที่มหาวิทยาลัยมาอย่างไรนะ..... นั่งรถจักรยานยนต์ เมียมาส่งคิวรถ นั่งรถยนต์รวดเดียวไปยัง ขนส่งปลายทาง ต่อรถสามล้อเข้าหอพัก จบการเดินทาง จากนั้นก็นึกหัวข้อ จะเขียนอะไร จุดประสงค์จากบ้าน ลาบุตรภรรยา ขอบคุณสิ่งศักด์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง ภรรยาไปส่ง บขส. ขอบคุณเธอ ฝากดูแลบุตรธิดา ..ฯลฯ......เข้าหอพักที่มหาวิทยาลัย รวมแล้วได้มากกว่า 70 หัวข้อ สบายมาก ลงมือเขียนเล่าเป็นกลอนแปด ปรากฏว่ายาวถึงห้าหน้ากระดาษ ส่งครูผู้สอนไปวิชานี้ได้เกรด เอ บวก ไม่เลวนักหรอก
...........หลังจากนั้นแต่งกลอนบ่อยมาก เอาอย่างแต่งกาพย์ยานีที่เคยฝึกมาแล้ว บทอวยพรต่าง ๆ ใครอยากได้ วานให้เขียน ได้เลย มากมายนับได้เกินร้อยสำนวน ที่แต่งเป็นนิราศก็มี จนวันหนึ่งอยากรู้ผลงานที่เคยเขียนมันมี ข้อบกพร่องอะไรบ้าง พบว่าบางบท บางเรื่อง หักคะแนนได้แทบไม่เหลือคะแนนที่ได้เลย วันนี้ก็เลยนึกอยากนำ ข้อบกพร่องที่เจอมาเขียนไว้ให้ลูกหลาน อ่าน ดู จะได้รู้ว่า เราคิดว่าตัวเองเก่งเหลือหลาย ว่ากลอนปากเปล่าได้ไม่ติดขัด แต่กลอนก็มีข้อบกพร่อง ตั้งแต่บกพร่องเล็กน้อย ไปจนบกพร่องมาก ๆ ดังจะนำมาเล่าให้ฟัง ดังนี้.....
..............1. ใช้คำขาด ๆ
เกิน ๆ กลอนแปด ใช้คำวรรคละแปดคำ อ่านตำราบอกว่า ใช้ได้วรรคละ 7-9
คำ ไปอ่านงานของกวีที่แต่งไว้ ก็มีจริง ๆ เวลาแต่งก็ตามสบาย ขาดบ้างเกินบ้าง
พอมาอ่านทีหลังมันติด ๆ ขัด ๆ ต้องดู ว่ากี่คำ 7 คำ อ่าน 2-2-3 ลงตัว
อ้าววรรคนี้ไม่ได้ต้องอ่าน 2-3-2 ก็เลยรู้ว่าทำไมไม่แต่งให้ลงตัวแปดคำ อ่าน 3-2-3
ลงตัวสบาย ๆ ก็ได้ข้อสรุปว่า กลอนแปด แต่งวรรคละแปดคำนั่นแหละ
ดีแล้ว
..............2. คำครบ แต่คร่อมจังหวะ กลอนแต่งเพื่ออ่าน โดยเฉพาะอ่านทำนองเสนาะ มีจังหวะการอ่านแบบ 3-2-3 ทุกวรรค คำขาดคำเกิน ก็ต้องอ่าน 3 จังหวะ ทีนี้คำหลายพยางค์บางคำ คนแต่งไม่ระวัง ปล่อยให้คร่อมจังหวะ ในวรรค อ่านก็เลยสะดุด 8 คำ....เช่น แต่งว่า.... ไปโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา... อ่าน ไปโรงเรียน/เขียนอ่าน/การศึกษา อ่านไม่ติดขัด ลองปรับแต่ง 9 คำ .....ลูกเข้าโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา...อ่าน ลูกเข้าโรง/เรียนเขียนอ่าน/การศึกษา ...อ่านได้นะแต่ติด ๆ ขัด ๆ จังหวะติดขัด ทำให้กลอนอ่านไม่ง่าย แต่งกลอนจงอย่าให้มีคำคร่อมจังหวะ
..............3. เสียงคำท้ายวรรค กลอนอ่านทำนองเสนาะ มักจะมีปัญหา ถ้าคำลงท้ายวรรค เสียงผิดไปจากที่นิยม กลอนไม่ได้ผิดฉันทลักษณ์ แต่มันอ่านไม่รื่น คนในสมัย ก่อนท่านนิยมแต่งคำลงท้ายวรรคบทกลอนกันอย่างไร
..............2. คำครบ แต่คร่อมจังหวะ กลอนแต่งเพื่ออ่าน โดยเฉพาะอ่านทำนองเสนาะ มีจังหวะการอ่านแบบ 3-2-3 ทุกวรรค คำขาดคำเกิน ก็ต้องอ่าน 3 จังหวะ ทีนี้คำหลายพยางค์บางคำ คนแต่งไม่ระวัง ปล่อยให้คร่อมจังหวะ ในวรรค อ่านก็เลยสะดุด 8 คำ....เช่น แต่งว่า.... ไปโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา... อ่าน ไปโรงเรียน/เขียนอ่าน/การศึกษา อ่านไม่ติดขัด ลองปรับแต่ง 9 คำ .....ลูกเข้าโรงเรียนเขียนอ่านการศึกษา...อ่าน ลูกเข้าโรง/เรียนเขียนอ่าน/การศึกษา ...อ่านได้นะแต่ติด ๆ ขัด ๆ จังหวะติดขัด ทำให้กลอนอ่านไม่ง่าย แต่งกลอนจงอย่าให้มีคำคร่อมจังหวะ
..............3. เสียงคำท้ายวรรค กลอนอ่านทำนองเสนาะ มักจะมีปัญหา ถ้าคำลงท้ายวรรค เสียงผิดไปจากที่นิยม กลอนไม่ได้ผิดฉันทลักษณ์ แต่มันอ่านไม่รื่น คนในสมัย ก่อนท่านนิยมแต่งคำลงท้ายวรรคบทกลอนกันอย่างไร
คำท้ายวรรคสดับ ใช้ได้ทุกเสียง
แต่ไม่ค่อยนิยมใช้เสียงสามัญ
คำท้ายวรรครับ ต้องใช้เสียงเอก โท หรือจัตวา นิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียงสามัญและตรี
คำท้ายวรรครอง ต้องใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรี นิยมมากคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท และจัตวา
คำท้ายวรรคส่ง ต้องใช้เสียงสามัญหรือตรี ที่นิยมมากที่สุดคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท และจัตวา
คำท้ายวรรครับ ต้องใช้เสียงเอก โท หรือจัตวา นิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียงสามัญและตรี
คำท้ายวรรครอง ต้องใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรี นิยมมากคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท และจัตวา
คำท้ายวรรคส่ง ต้องใช้เสียงสามัญหรือตรี ที่นิยมมากที่สุดคือเสียงสามัญ ไม่นิยม เอก โท และจัตวา
ตัวอย่างกลอนท่านสุนทรภู่
พระฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด (เสียงตรี)
จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง (เสียงจัตวา)
สงสารลูกเจ้าลังกาจึงว่าพลาง (เสียงสามัญ)
เราเหมือนช้างงางอกไม่หลอกลวง (เสียงสามัญ)
บทอาขยาน จากเรื่องพระอภัยมณี
จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง (เสียงจัตวา)
สงสารลูกเจ้าลังกาจึงว่าพลาง (เสียงสามัญ)
เราเหมือนช้างงางอกไม่หลอกลวง (เสียงสามัญ)
บทอาขยาน จากเรื่องพระอภัยมณี
.............4..สัมผัสนอกคือสัมผัสบังคับ
ทุกตำแหน่งมีได้คำเดียว ไม่ควรมีคำอื่นที่เสียงเดียวกับสัมผัสบังคับ กลอน
แต่ละบทมีคำสัมผัสบังคับอยู่ สองเสียง เสียงแรกคือคำท้ายวรรคสดับ
เสียงที่สองคือคำท้ายวรรครับ
บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขึ้นไปยังบรรพต
........ คำที่ส่งสัมผัส บังคับได้แก่ คำ แว่ว
และคำ หา ส่งไปไหนบ้างตามดู เสียงจากคำ แว่ว ส่งไปวรรคที่ 2 มีคำ แล้ว รับสัมผัส
จบแค่นี้ อย่าให้มีคำอื่นแถมมาอีก ถ้ามีจะกลายเป็นสัมผัสบกพร่อง เรียกสัมผัสเลือน
สัมผัสเลื่อน
......คำที่บังคับสัมผัสเสียงที่ 2 คือคำ หา ส่งไปท้ายวรรคที่ 3 และส่งต่อเนื่องไปคำที่ 3 วรรคที่ 4 แต่ละแห่งใช้คำรับสัมผัสคำเดียว ห้ามมีคำอื่นมารับสัมผัส จะกลายเป็นสัมผัสบกพร่องไป ถ้ามีในวรรคที่ 3 เรียกชิงสัมผัส หรือสัมผัส ลัด ถ้ามีในวรรคที่ 4 เรียกสัมผัสเลื่อนหรือสัมผัสเลือน
......คำที่บังคับสัมผัสเสียงที่ 2 คือคำ หา ส่งไปท้ายวรรคที่ 3 และส่งต่อเนื่องไปคำที่ 3 วรรคที่ 4 แต่ละแห่งใช้คำรับสัมผัสคำเดียว ห้ามมีคำอื่นมารับสัมผัส จะกลายเป็นสัมผัสบกพร่องไป ถ้ามีในวรรคที่ 3 เรียกชิงสัมผัส หรือสัมผัส ลัด ถ้ามีในวรรคที่ 4 เรียกสัมผัสเลื่อนหรือสัมผัสเลือน
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
........คำ มนุษย์ เป็นคำสัมผัสนอก
ส่งไปวรรคที่ 2 มีคำ สุด รับสัมผัสคำเดียว พอแล้ว อย่าให้ มีมาอีก จะเป็นสัมผัส บกพร่อง
เรียกสัมผัสเลื่อนหรือสัมผัสเลือน
.........คำ กำหนด เป็นสัมผัสนอกเสียงที่ 2 ในบทนี้ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 3 มีคำ ลด รับ สัมผัส ห้ามมีคำอื่น ถ้ามี จะเรียกชิงสัมผัส หรือสัมผัสลัด และมีการส่งต่อไปวรรคที่ 4 มีคำ คด คำเดียวรับสัมผัส ห้ามมีคำอื่น ๆ อีก ถ้ามี ก็กลายเป็นสัมผัสเลื่อน สัมผัสเลือน เช่นกัน
.........คำ กำหนด เป็นสัมผัสนอกเสียงที่ 2 ในบทนี้ ส่งสัมผัสไปวรรคที่ 3 มีคำ ลด รับ สัมผัส ห้ามมีคำอื่น ถ้ามี จะเรียกชิงสัมผัส หรือสัมผัสลัด และมีการส่งต่อไปวรรคที่ 4 มีคำ คด คำเดียวรับสัมผัส ห้ามมีคำอื่น ๆ อีก ถ้ามี ก็กลายเป็นสัมผัสเลื่อน สัมผัสเลือน เช่นกัน
.........6. เห่อสัมผัสใน จนทำให้กลอนบกพร่อง
ใครที่ชอบอ่านกลอนสุนทรภู่มาก ๆเหมือนกระผม มักจะชอบมากเรื่องสัมผัสใน
จำจนขึ้นใจว่า วรรคละแปดคำ จังหวะ 3-2-3 สัมผัสในวรรคละสองคู่คือ คำที่ 3 กับ คำที่ 4 คำที่ 5 กับคำที่ 7 เกณฑ์นี้ใช้ได้กับวรรค คี่
คือวรรคที่ 1 และ 3 .....ส่วนวรรคคู่ก็ใช้ได้แต่ระวังพลาด ในวรรคที่ 2 และวรรคที่ 4 ตำแหน่งคำ ที่ 3 ต้องใช้รับสัมผัสบังคับ
ไม่ว่างที่จะใช้สัมผัสในกับคำที่ 4 ถ้าขืนใช้จะทำให้คำที่ 4 เป็นสัมผัสเลื่อน
หักคะแนนได้ บางคนเอากลอนเก่า ๆ มาอ้าง ว่า คนเก่าก่อนก็ยังใช้ ก็ช่างกลอนเก่า ๆ
สิ เรารู้ว่ามันบกพร่องจะเอาอย่างทำไม
แผนผังปกติของกลอนแปด ปุ่มสีแดงคือจุดสัมผัสนอกในแต่ละบท เวลาจะแต่งเล่นสัมผัสใน ก็อย่าให้กระทบ เสียงของคำสัมผัสนอก กระทบเมื่อไรกลอนมีตำหนิทันที ตรงที่ใช้จุดไข่ปลา
แผนผังปกติของกลอนแปด ปุ่มสีแดงคือจุดสัมผัสนอกในแต่ละบท เวลาจะแต่งเล่นสัมผัสใน ก็อย่าให้กระทบ เสียงของคำสัมผัสนอก กระทบเมื่อไรกลอนมีตำหนิทันที ตรงที่ใช้จุดไข่ปลา
คือตำแหน่งคำรับสัมผัสบังคับ อาจ
เลื่อนไปใช้คำที่จุดไข่ปลาตก แทนได้
........7. ชอบเล่นสัมผัสใน
เล่นให้ถูกจังหวะ อย่าให้กลายเป็นสัมผัสลัดหรือชิงสัมผัส หรืออย่าให้กลายเป็นสัมผัส
เลื่อนหรือสัมผัสเลือน แผนผังกลอนแปด คำท้ายวรรคสดับ ส่งสัมผัสไปให้คำที่ 3 วรรครับ
ถ้ามีคำอื่นอีกที่รับสัมผัสได้ เรียกว่า เกิดสัมผัสเลื่อน หรือสัมผัสเลือน
อันความรักมักเป็นเห็นแก่ตัว.............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
อ่านดูมันก็เพราะดี
แต่สัมผัสบังคับใช้คำเดียวรับสัมผัสพอแล้ว ตัวอย่างมีทั้ง มัว และ กลัว รับสัมผัสได้ ถือว่าแต่งผิดฉันทลักษณ์ สมมติว่าแต่งต่อไปอีก
อันความรักมักเป็นเห็นแก่ตัว...............เพราะมืดมัวกลัวรักจักห่างหาย
เกิดเป็นชายหมายรักมิกลับกลาย.........จวบจนตายรักแต่เจ้าเยาวมาลย์
วรรครับคำท้ายคือ หาย
ส่งสัมผัสบังคับไปให้คำท้ายวรรคของวรรครอง ได้แก่คำ กลาย แต่มีคำอื่นดักแย่งชิงสัมผัส คือคำ ชาย และ
หมาย เรียก สัมผัสลัด หรือชิงสัมผัส แต่งแบบนี้ถือว่าแต่งผิดฉันทลักษณ์เช่นกัน
.........8. สัมผัสซ้ำ
ในเส้นสายสัมผัสบังคับ ห้ามใช้คำซ้ำ หรือต่างรูป แต่เสียงเดียวกัน มาใช้ส่งรับสัมผัสกัน
เชน คำ สัน สรรพ์ สันต์ สันติ์ ถือเป็นคำที่มีเสียงเดียวกัน ไม่ให้ใช้ คำขัน ขันธ์
ขรรค์ คัน ครรภ์ ไม่ควรใช้ เป็นต้น
.........9. คำเสียงสั้น
กับคำเสียงยาว ไม่ให้ใช้สัมผัสบังคับ เสียง อะ -อา นะ....นา จัน....จาน มัน...มาน
กรรม กำ กัม เสียงเดียวกัน ใน ไน นัย เสียงเดียวกัน ใน...นาย คนละเสียง นาม...น้ำ คนละเสียง
เรา...เบาเสียงเดียวกัน เงา....ขาว คนละเสียง คำที่ประสมสระลดรูป เปลี่ยนรูป
สังเกตให้ดี
.........10. คำลงท้ายบท
ไม่ควรใช้เสียงเดียวกันติด ๆสำหรับบทกลอนที่แต่งติดต่อ กันหลายบท สมมติแต่งกลอน 5 บท
บทที่หนึ่ง ...............................................
.................................จบบทด้วยคำ ใจ
บทที่สอง ...............................................
.....................จบบทด้วยเสียง ไอ ไม่ควรให้เสียงซ้ำ
บทที่สาม ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ เสียงอัย ไม่ควรให้เสียงซ้ำ
บทที่สี่หนึ่ง ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ อา
บทที่ห้า ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ อา ติดกันขนาดนี้ไม่ควรให้ซ้ำ
..........การลงท้ายบทด้วยคำมีเสียงซ้ำกับบทก่อน ๆ ควรเว้นซัก 2 บท ถึงใช้ซ้ำอีกก็ไม่ น่าเกลียด
บทที่หนึ่ง ...............................................
.................................จบบทด้วยคำ ใจ
บทที่สอง ...............................................
.....................จบบทด้วยเสียง ไอ ไม่ควรให้เสียงซ้ำ
บทที่สาม ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ เสียงอัย ไม่ควรให้เสียงซ้ำ
บทที่สี่หนึ่ง ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ อา
บทที่ห้า ...............................................
.....................จบบทด้วยคำ อา ติดกันขนาดนี้ไม่ควรให้ซ้ำ
..........การลงท้ายบทด้วยคำมีเสียงซ้ำกับบทก่อน ๆ ควรเว้นซัก 2 บท ถึงใช้ซ้ำอีกก็ไม่ น่าเกลียด
.........11. คำคู่ที่ถือเป็นคำมาตรฐานไปแล้ว
ไม่ควรนำมาสลับตำแหน่งหน้าหลัง มีคำไหนบ้าง ต้องตรวจสอบกับ พจนานุกรมทันทีที่สงสัย
คำที่ถือว่าเป็นคำมาตรฐานไปแล้วเช่น แน่นอน สลับเป็น นอนแน่ กอบกู้ สลับเป็น กู้กอบ เดียวดาย เป็น ดายเดียว ปกป้อง เป็น ป้องปก บางคำสลับ ตำแหน่งความ หมายก็เพี้ยนไปด้วย ทางที่ดีอย่างใช้สลับตำแหน่ง
.........12. ใช้คำสัมผัสเพี้ยน
ๆ ดูรูปคำนึกว่าจะสัมผัสกันได้ แต่ลองอ่านดูถึงจะรู้ได้ว่าคนละเสียง เช่น เล็ก เผ็ด
เลข เป็นคำประสมสระ เอ เหมือนกัน แต่ตัวสะกดมาตราต่างกัน เลยออกเสียงต่างกัน
..........13. สัมผัสเผลอ
เกิดจากการใช้คำบางคำที่รูปร่างคำคล้ายกัน หรือ ออกเสียคล้ายกันเช่นคำว่า
น้ำออกเสียงเหมือนคำ ย่าม ตาม ลาม ลองแยกคำดู น+สระอำ+ไม้โท เป็น น้ำ ย+สระอา+ม+ไม้เอก คำ ไป ขัย ใน
นัย เสียงเดียวกัน แต่ต่างจากเสียง ชาย วาย งาย คำทำนองนี้ถ้าสงสัยให้วิเคราะห์คำดู
ว่าประสมเสียง สระอะไร ถ้าเสียงสระเดียวกัน สะกดมาตราเดียวกันไหม ถ้าต่างมาตราสะกด
ถืดว่าคนละเสียง
..........14.
แต่งไม่ระวังกลายเป็นกลอนที่มีละลอกทับละลอกฉลอง
........ละลอกทับ ถ้าคำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนส่ง คือผิดฉันทลักษณ์ ........ละลอกฉลอง มีสองกรณีคือ ถ้า คำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนรับ คือผิดฉันทลักษณ์ และถ้าคำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนรอง คือผิดฉันทลักษณ์
........ละลอกทับ ถ้าคำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนส่ง คือผิดฉันทลักษณ์ ........ละลอกฉลอง มีสองกรณีคือ ถ้า คำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนรับ คือผิดฉันทลักษณ์ และถ้าคำเอก (โท) อยู่ในที่สุดของกลอนรอง คือผิดฉันทลักษณ์
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น