วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563

แผนผังโคลง




โคลงสองสุภาพ
..............โคลงสองสุภาพ มีสามวรรค ๕-๕-๔ คำตามลำดับ มีสร้อยได้สอง  กำหนดให้มีเอกสาม โท สาม
คือวรรคแรกคำที่ ๔-๕ เป็นเอกและโท วรรคที่สอง คำที่ ๒ และ ๕ เป็นคำเอกและโท  วรรคที่ สาม คำที่ ๑-๒ เป็นคำเอกและโท สัมผัสบังคับคูเดียวคือคำท้ายวรรคแรก กับคำท้ายวรรค สอง

โคลงสามสุภาพ
..............โคลงสามสุภาพ มีสี่วรรค โดยเพิ่มห้าคำหน้าโคลงสอง (๕)- ๕-๕-๔ คำตามลำดับ มีสร้อยได้สอง  วรรคแรกที่เพิ่มมา สัมผัสคำที่1/2/3 วรรคแรกของโคลงสอง นอกนั้นเป้นแบบโคลงสองปกติ ทั้งจำนวนคำและตำแหน่งคไเอก โท


โคลงสี่สุภาพ

กำหนดแต่งสองวรรคเป็นหนึ่งบาทใช้คำ ๕-๒ คำ เว้นบาทที่สี่ ใช้ ๕-๔ คำ แต่ง สี่บาทเป็นหนึ่งบท
ให้มีเอกเจ็ด โท สี่ กำหนด ดังนี้
.................บาทแรกคำที่ ๔ ๕ เป้นคำเอกและโท  
.................บาทที่สอง คำที่ สองและคำที่หกเป็นคำเอก คำที่เจ็ดเป้นคำโท  
.................บาทที่สาม คำที่ สามและคำที่ ๗ เป็นคำเอก  
.................บาทที่สี่ คำที่ สองและคำที่หกเป็นคำเอก คำที่ ห้าและคำที่เจ็ดเป้นคำโท


โคลงกระทู้
..........กระทู้คือหัวข้อ กำหนดให้แต่งข้อความขยายหัวข้อที่กำหนดให้ หัวข้ออาจเป้นคำเดียวหรือหลายคำ แล้วแต่กำหนด เป็นการลองฝีมือคนแต่ง จะไขกระทู้ได้ดีแค่ไหน ต้องแต่ถูกฉันทลักษณ์โคลงด้วย กระทู้สมัยก่อนที่รู้จักกันดีเช่น (โก วา ปา เปิด)   (ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู)   สุข สันตฺ วัน เกิด 



วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

แผนผังกาพย์และกลอน




..........ตั้งใจจะรวบรวมแผนผังร้อยกรองที่นิยมแต่งกันทั่วไป มาไว้ที่เพจนี้ เพื่อค้นหาง่าย สะดวกต่อการศึกษาและนำไปใช้ฝึกเขียนคำร้อยกรอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้

                                                                    ขุนทอง ศรีประจง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มกาพย์ต่าง ๆ

................กาพย์ยานี ๑๑ นับจำนวนคำ ไม่เน้นครุลหุ  วางรูปแบบคำ บรรทัดละสองวรรค ๕---๖ คำ
เป็น ๑ บาท สองบาทเป็น ๑ บท นิยมแต่งสองบท เพื่อให้เห็นสัมผัสระหว่างบทด้วย สัมผัสบังคับ
คำท้ายวรรคแรก สัมผัสคำที่ สาม วรรคสอง คำท้ายวรรคสอง สัมผัสคำท้ายวรรค สาม  คำท้ายบท
ส่งสัมผัสให้บทถีดไป  (สัมผัสคำที่สามวรรคสอง อนุโลมใช้คำอื่นรับได้ด้วย เช้น 1/2/3/4 แต่คำที่ 3
นั่นแหละเหมาะสมดีแล้ว


............กาพน์ฉบังบทหนึ่งมี 3 วรรค ใช้คำ ๖+๔+๖ รวม ๑๖ คำ สัมผัสในบทมีคู่เดียวคือคำท้ายวรรคแรกสัมผัสคำท้ายวรรคสอง  คำท้ายบทคือคำท้ายวรรคสาม ส่งสัมผัสให้คำท้ายวรรคแรกบทถัดไป

 ..........กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ แต่งจังหวะคู่ตลอด วรรคละ ๔ คำ รวม ๗ วรรค สัมผัสบังคับ ท้ายวรรค ต่อท้ายวรรคเช่น วรรค  ๑....ไป...๒   วรรค ๓...ไป....๕ (ข้าม ๔) และ วรรค ๕...ไป....๖ จบสัมผัสในบท  คำท้ายบทส่งให้คำท่ายวรรค ๓ บทถัดไป
..........กาพย์สุรางคนางค์ ๓๒  จัดวางบรรทัดละ สอง วรรค เลยดูง่าย สัมผัสบังคับในบทมีสองคู่คือ คำท้ายวรรคแรหสัมผัสคำที่สองวรรคสอง และคำท้ายวรรคสองสัมผัสคำท้ายวรรคสาม คบสัมผัสในบท
คำท้ายบทส่งสัมผัสคำท้ายวรรคสองบทถัดไป
..........กาพย์ชนิดอื่น ๆ ไม่นิยมแต่งกัน ในเวบขุนทองเขียนกาพย์กลอน บันทึกไว้ทุกรายชื่อ สนใจเข้าไปดูได้

แผนผังร้อยกรองประเภทกลอน

กลอนดอกสร้อย
..............ลักษณะเฉพาะคือมีคำขึ้นส้น สี่คำ คำที่สองบังคับใช้คำ  Oเอ่ยOO........เช่น รักเอ๋ยรักนวล
ใจเอ๋ยใจเรา   นอกนั้นก็เหมือนกลอนแปดธรรมดา นิยมแต่งสองบท แปดวรรค จบวรรคสุดท้ายด้วยคำว่า เอย

กลอนสักวา
.................เป็นกลอนแปดนั่นเองนำมาดัดแปลงเล่นสักวา โดยกำหนดขึ้นวรรคแรกด้วยคำ สักวา....จากนั้นก็เป็นกลอนแปด ยาวสองบท คือแปดวรรค  จบด้วยคำว่าเอย


กลอนหก
..................ชื่อกลอนหก บอกให้ทราบได้ว่าแต่งวรรคละหกคำ ดูสัมผัสบังคับคล้ายกลอนแปด แต่มีลูกเล่นสำคัญคือนิยมเล่นสัมผัสในทุกวรรคเป็นแบบสัมผัสสระ ดังตัวอย่าง
.................วรรคแรก  หก+ยก                                วรรคสอง  ราม+งาม
                 วรรคสาม  เล่น+เป็น แบบ+แยบ            วรรคสี่  สัมผัสพยัฯชนะ ช+ช+ช
.................สรุปความว่าเป้นกลอนหกแต่งวรรคละหกคำ อยากให้เพราะก็สอดแทรกสัมผัสในไว้ตามต้องการ


กลอนเจ็ด
.................แต่งวรรคละเจ็ดคำ วางจังหวะตามพอใจ 2+2+3   2+3+2  3+2+2  แต่ควรวางแบบเดียวทั้งบท
คนอ่านจะได้อ่านสะดวก ถ้าวางสลับไปมา คนอ่านอ่านยาก เขาก็ไม่อ่านเอง สมน้ำหน้าคนแต่งไง แต่งแล้วคนไม่อ่าน แต่งทำไม


กลอนแปด
.................กลอนแปดแต่งวรรคละแปดคำ เห็นบางคนบอกอนุโลมจนถึงสิบคำ แปดก็แปดนั่นแหละ จะยืดออกไปทำไม ชอบยืดนักก็แต่งเป็นกลอนเก้า กลอนสิบไปเลย เด็กรุ่นหลังจะได้ไม่สับสนว่า คนรุ่นเก่าไม่รู้จักแปด หรือเก้า


กลอนเก้า
          .........นี่ไงกลอนเก้า อย่าอนุโลมสิบคำอีกล่ะ เดี๋ยวจะมีกลอนสิบ