วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ข้อบกพร่องในการแต่งกาพย์ยานี ๑๑

                                                                 
                                                           เยี่ยมเคารพอนุสาวรีย์สุนทรภู่

ผมเขียนกาพย์ยานี ๑๑ มาก่อนร้อยกรองชนิดอื่น ๆ นา  ว่าปากเปล่าได้ไม่ติดขัด  รู้จักข้อบกพร่องของคำกาพย์ดี จนพอจะเขียนเล่าให้ผู้สนใจอ่านเล่นได้ อ้อ อ่านแล้วอย่าเชื่อ จนกว่าจะได้พิจารณา ชอบด้วยเหตุผล ถึงเชื่อนะครับ ขอบคุณ
                                                                ขุนทอง ศรีประจง
                                                                  3 กันยายน 2562

..อ่านกาพย์ยานี ๑๑  (โพสใหม่ พย.2562)
-------------------------
ปัญหาที่มักพบได้แก่ :---
.. .....1. ใช้คำขาด ๆ เกิน ๆ กาพย์ยานี ๑๑ วรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๖ คำ เป็นเช่นนี้ทุกบาท ควรใส่คำให้ครบตามนั้นถ้าใส่ไม่ครบก็กลายเป็นกาพย์ชำรุด ไม่ดี
จะ
ลองแต่งกาพย์ยานี................อ่านเพราะดีไม่มากคำ         จะ  ใส่ให้เกิน
เป็นบทให้
เด็กท่องจำ.................ก็ดูง่ายมิน่าเกรงกลัว            เด็ก และ เกรง ใส่เข้าไปให้คำเกิน
บงเนื้อก็เนื้อเต้น..........................พิศเส้นสรี
รัว
ทั้ง
ร่างและเนื้อตัว.......................ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล ........................หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ......................... ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
อ่านสามัคคีเภท...........................ตอนเกิดเหตุพรามหณ์เป็นสาย
โดนเฆี่ยนเจียนชีพ
วางวาย...........ทำเป็นหนีเพราะราชทัณฑ์         วาง เพราะ  ใส่ให้คำเกิน
ที่แท้เป็นสายลับ...........................จับข่าวสารในเขตขัณฑ์
ลิจฉวีเมืองสำคัญ..........................สามัคคีเขาแกร่งเกิน
ยามเกิดภัยภิบัติ............................ทุกเมืองจัดการประเมิน
ช่วยดับภัยเจริญ...........................แก้ปัญหาสารพัน
คราวหนึ่งแคว้นมคธ.....................ปรากฏเจ้าคนสำคัญ
อชาติศัตรูนั้น.................................หวังจักตีลิจฉวีพลัน
พอทราบเรื่องราวนั้น.....................ต้องรบพุ่งหลายสิบเมือง
คงเอาชนะยาก..............................หากทำศึกยุให้เคือง
หาทางให้เกิดเรื่อง........................ให้แตกแยกสามัคคี
ภาระวัสสการ.................................พราหมฑ์เชี่ยวชาญกลวิถี
อาสาไปทำที.................................ไปขอหลบราชภัย
เขาให้เป็นครูสอน..........................ประชากรมิสงสัย
มินานก็สุมไฟ................................สามัคคีพังทลาย
ส่งข่าวไปมคธ...............................ศึกปรากฏจึงเสียหาย
บ้านเมืองก็วอดวาย.......................เพราะภัยแตกสามัคคี ฯ


........2.แต่งครบก็จริง แต่มีแต่งคร่อมจังหวะ อ่านสะดุด  จังหวะของกาพย์ยานี  นิยม 2 - 3 และ  3 - 3 ตัวอย่าง สองบทแรกแต่งตามปกติ ส่วนสองบทหลัง จะแต่งให้คร่อมจังหวะ ใช้เป็นตัวอย่างให้ดูจะได้เทียบเคียงง่าย และรู้ว่าจังหวะกาพย์สำคัญมาก

       ยานีสิบเอ็ดคำ................เคยจดจำไว้เสนอ
...ตรองแต่งจะต้องเจอ...........สองกับสามวรรคหน้าดี
....วรรคหลังสองจังหวะ.........เป็นคู่กะตรงวิถี
อ่านง่ายแลเพราะมี...............จังหวะชี้งามกาพย์กลอน
หากแม้นจังหวะเคลื่อน..........กาพย์เลื่อนครูมิเคยสอน
อ่านลำบากทุกตอน...............ถึงคำจักครบไม่ดี
นับจำนวนคำครบ..................พบคร่อมจังหวะวิถี
ใครจะแต่งแบบนี้......................อ่านก็สะดุดอย่าทำ ฯ

........2.  คำลงท้ายวรรค บทหนึ่งแต่ง 4 วรรค  คำท้ายวรรคไม่นิยมคำมีรูปวรรณยุกต์ ถ้ามีก็ไม่ได้ผิด แต่เป็นกาพย์ไม่สวย แต่งประกวดหักคะแนนได้ เพราะทำให้เสียงอ่านไม่เพราะ

ยานีกาพย์สี่วรรค......................คนรู้จักแต่งได้ดี
วางคำเหมาะควรชี้....................สมฝึกปรือเลื่องลอนาน
บางคราวก็ผิดพลั้ง....................มิระวังท้ายวรรคขาน
วรรณยุกต์โผลมาบาน................กาพย์มิสวยบอกให้รู้
อ่านกาพย์อยู่ดีดี........................ลงท้ายมีคำรื่นหู
ไม้โทไยมิดู...............................ปล่อยมาได้ไม่ระวัง ฯ

........3.  ใช้คำภาษาพูด ภาษาปาก ต้องใช้อย่างมีศิลปะ ถ้าใช้ไม่ระมัดระวัง จะกลายเป็นจุดบกพร่อง ได้

   .......อ่านบทกาพย์ยานี.............เห็นเขามีคำเสกสรรพ์
   พูดจาแปลกนักนั่น....................หนุ่มเกี้ยวหนูดูพูดจา
  มันบอกกูชอบเอ็ง.......................อยากจะเร่งพ่อไปหา
 สู่ขอกับพ่อตา..............................เอาเอ็งมาเป็นคู่ครอง ฯ

........4. ชอบใช้คำศัพท์ภาษาต่างชาติ ที่ยังไม่นิยม เช่นคำบาลี คำอังกฤษ เว้นคำที่ยอมรับกันทั่วไปแล้ว
     ชอบใช้คำศัพท์แสง................แกล้งเป็นว่าข้าชำนาญ
 เอกซ์เปิร์ทบาลีลาน....................ปริวัตต์สบายสบาย
 ทูเดย์ใช่ทูทอด............................มันสุดยอดแม่ค้าขาย
สาวสวยหนุ่มมากมาย..................แวะเวียนซื้อสองสามครา
ได้ไปตัวหนึ่งก่อน........................สักครู่จรกลับมาหา
ขอซื้ออีกตัวบ้า............................แค่อยากจีบสาวนั่นแล
จีรกาลมั่วมากเข้า........................ยกสาวเจ้ามิแยแส
สินสอดใจถึแท้..........................สมรสกับสาวปลาทู
อยู่กินบ้านมาณพ........................พบคงคุ้มมากนักหนู
ใช้ผัวเก่งน่าดู..............................สมน้ำหน้าหลงภรรยา ฯ

........5. ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ หยาบคาย  
  กูชื่ออ้ายขุน..........................................บุญที่มึงได้เห็น
ปางก่อนกูก็เป็น......................................ถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
มีเมียสักสามสิบ......................................ริบมาเอาแทนทรัพย์สิน
พ่อแม่มันโง่กิน........................................เกินฐานะจึงยากจน
มายืมข้าบ่อยบ่อย...................................เอาสาวน้อยยามขัดสน
มาใช้หนี้เป็นคน......................................มันน่ารักนวลอนงค์
ตอนแรกก็ดีดอก.....................................นานเข้าออกจะไหลหลง
เมามัวเป็นมั่นคง.....................................แทบชีพวายตายแน่นอน
ขอบวชหนึ่งพรรษา................................ภรรยาสายสมร
ทำบุญหนาบังอร....................................ออกพรรษาค่อยมาเอา

.........6..สัมผัสนอกคือสัมผัสบังคับ บทหนึ่ง ๆ จะมี 2 จุดสำคัญ คือ ท้ายวรรคที่ 2 มีหน้าที่รับสัมผลคำท้ายบทต้น กรณีแต่งติดต่อกันหลาย ๆ บท จุดที่สองคือสัมผัสบังคับในบท มีสองคู่คือ คำท้ายวรรคแรก กับคำที่ 3 วรรคสอง อีกคู่คือคำท้ายวรรคที่สอง กับคำท้ายวรรคที่ 3 ส่วนวรรคที่ 4 ปล่อยว่าง คำท้ายบท ถ้าแต่งบทถัดไป จะใช้คำท้ายบทเป็นคำส่งสัมผัสให้บทถัดไป

สัมผัสกาพย์ยานี....................แบบแผนชี้สองสัมพันธ์
วรรคหนึ่งและสองนั้น.............คำท้ายวรรคหนึ่งส่งไป
วรรคสองคำสามรับ................จับให้มั่นมิสงสัย
คู่สองจะบอกให้......................ท้ายวรรคสองวรรคสามตรง 
ในบทสองคู่นี้..........................จำให้ดีอย่าลืมหลง
แต่ได้เป็นมั่นคง......................กาพย์เสนาะเพราะอ่านเพลิน

.........7. เห่อเล่นสัมผัสใน  ควรเล่นสัมผัสพยัญชนะจะดูดีกว่า เพราะจำนวนคำน้อย  วรรคละ 5 และ 6 คำเอง เล่นมากก็รกเปล่า ๆ

กาพย์ยานีดีเสนาะ..................อ่านก็เพราะเสนาะหู
ลองเขียนเพียรตามครู...........ได้ความรู้ดูมากมาย (เพลินจนลืมสัมผัสเลื่อน)
แก้กาพย์กรองกลคำ..............จักจดจำหลักมีหลาย
เล่นคำควรคมคาย..................เสียงเสนาะเสาะสรรค์มา (แก้ไขมาเล่นสัมผัสพยัญชนะแทน)

.........8. สัมผัสซ้ำ ในเส้นสายสัมผัสบังคับ ห้ามใช้คำซ้ำ หรือต่างรูป แต่เสียงเดียวกัน มาใช้ส่ง-รับสัมผัสกัน เชน คำ สัน สรรพ์ สันต์ สันติ์ ถือเป็นคำที่มีเสียงเดียวกัน ไม่ให้ใช้ ขัน ขันธ์ ขรรค์ ไม่ควรใช้ เป็นต้น

ยานีเลือกคำสรรพ์....................จะเสกสันต์เสนาะเสียง
ราวนกเจ้าจำเรียง......................จ้อกจอแจระงมไพร
ริมธารมีมะเดื่อสุก......................ปักษีสุชมิสงสัย
โผผินบินหาไทร........................โพรดกนกเขาคู

.........9. คำเสียงสั้น กับคำเสียงยาว ไม่ให้ใช้สัมผัสบังคับ เสียง อะ -อา    นะ....นา    จั น....จาน

กลากานต์ระวังนะ.....................สัมผัสมาผิดเพี้ยนหนอ
อะอานี่ไม่พอ...............................มิใช่เสียงสัมผัสกัน
เช้าตื่นมาวันจันทร์.....................จนอังคารค่อยสานฝัน
ดีใจอะไรปาน..............................โรงเรียนหยุดไปเที่ยวเพลิน

.........10. คำลงท้ายบท ไม่ควรใช้เสียงเดียวกันติด ๆสำหรับบทกลอนที่แต่งติดต่อกันหลายบท สมมติ

ลงท้ายกาพย์เสียงใด..................แต่งต่อไปหลายบทดี
จบบทณตรงในี้............................กำหนดใช้สระไอ
แต่งต่อมิยุ่งยาก...........................คำมีหลากมิสงสัย
เรื่อยเรื่อยหลั่งมาไง......................แปลกดีนะชักยังไง
สองบทจบเสียงเดียว..................พอแลเหลียวก็แปลกใจ
เป็นกลอนสระไอ..........................ปล่อยมันไปเลยตามเลย ฯ

.........11. คำคู่ที่ถือเป็นคำมาตรฐานไปแล้ว ไม่ควรนำมาสลับตำแหน่งหน้าหลัง มีคำไหนบ้าง ต้องตรวจดูพจนานุกรมจะได้ความหมายที่ถผูกต้อง  เช่น พี่น้อง........น้องพี่   อุ่มชู....ชูอุ้ม   ชื่อเสียง...เสียงชื่อ  ผิดแผน.......แผนผิด  บางคำสลับแล้วความหมายเปลี่ยนไป  ใช้ตามปกติดีที่สุด

ยานีบอกพี่น้อง...........................คำที่คล้องสืบเสาะหา
นานแล้วเสาะสืบมา.....................ยังมิเห็นช่างยากเกิน
เห็นมิลืมแล้วนาน........................มิเป็นการยังนึกเขิน
การเป็นแบบเพลินเพลิน...........นานแล้วชักเลือนลาง

.........12. ใช้คำสัมผัสเพี้ยน ๆ ดูรูปคำนึกว่าจะสมผัสกันได้ แต่ลองอ่านดูจะรู้ได้ว่าคนละเสียง เช่น เล็ก เป็ด เลข เป็นคำประสมสระ เอ เหมือนกัน แต่ตัวสะกดต่างกัน เลยออกเสียงต่างกัน

 พากเราเหล่าเด็กเด็ก...............มาเรียนเลขกันเถิดหนา
เรียนง่ายเข้าใจครัน...................มาเรียนดูจะเข้าใจ
นี่ทศนิยม..................................นิยมสิบหน่วยความหมาย
หน่วยย่อยต่ำศูนย์ไง.................หน่วยละสิบแจกลงไป

..........14. แต่งไม่ระวังกลายเป็นกาพย์แบบมีละลอกทับละลอกฉลอง  ยังกะกลอนแปด ละลอกทับ หมายถึงการมีรูปและเสียงวรรณยุกต์เอกหรือโท ในคำสุดท้ายของวรรครับและวรรครอง ละลอกฉลอง หมายถึงมีรูปและเสียงวรรณยุกต์เอกหรือโทในคำสุดท้ายของวรรคส่ง  ไม่ได้ผิดแตไม่สวย

เขียนห้าจุดหนึ่งหนั้น....................คำสำคัญเป็นไฉน
หน่อยย่อยกว่าศูนย์ไซร้...................แจกเป็นสิบหน่วยนั่นแล
ใช้เลขศูนย์ถึงเก้า...........................นับรวมเข้ามิผันแปร
เท่ากันหนึ่งจริงแท้...........................ค่าหนึ่งจุดทศนิยม
เอาหนึ่งจุดแจกต่อ..........................ก็มีสิบย่อยงามสม
ตำแหน่งที่สองชม............................เข้าใจคิดร้อยหน่วยงาม

..........15. ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ในบทกลอนโดยไม่มีเหตุผลสมควร ชัดเจน อ้อคำสมัยหนึ่งอาจหยาบคายเมื่อพูดในอีกสมัยหนึ่ง เช่นคำ เอา  กู มึง สมัยนี้เป็นคำหยาบไปแล้ว

เออเล่าเรื่องของกู...............................อยากรู้นักหรือพวกเอ็ง
ครั้งก่อนเป็นนักเลง............................เบ่งไปทั่วมิกลัวใคร
เดินผ่านแผงแม่ค้า............................แค่มองตาเป็นไฉน
มันห่อขนมให้....................................เอาไปกินเถอะพ่อคุณ
แต่แผงยายป้าดา...............................มิกล้าเบ่งกลัวแกฉุน
ห่างไว้จักเป็นบุญ...............................ก็เมียกูเป็นลูกแก

..........16. ใช้คำภาษาพูด ภาษาปาก เว้นแต่ใช้เป็นการบอกเล่า การสนทนา   ขะเจ้า ข่าน้อย  ยาคู  ยาพ่อ 

งามแต้หนอหมู่เจ้า...............................ล้วนผู้เยาว์บ้านอยู่ไส
ผู้ข่ามาแต่ไกล.....................................ไทเมืองเลยเด้อข่าน้อย
ขะเจ้าจากเจียงฮาย.............................คนเมืองปายบ้านเติงดอย
ผู้งามนักเรียบร้อย.................................ยินดีนักฮู้จักเจ้า

..........17.  ใช้คำภาษาต่างประเทศแบบคำทับศัพท์ เว้นแต่คำที่นอยมใช้กันทั่วไป  เช่น เวอรีกู๊ด  
บิวทิฟูล  โก สกูล  โก โฮม กู๊ดบาย  คำไทย ๆ มีใช้อยู่ก็ดูดีแล้ว แต่คำบาลีสันสกฤต กลับบอกว่า
เป็นศัพท์ชั้นสูง  เช่น ขันติ วิริยะ  หิตประโยชน์  

...........18.