วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2564

คำชี้แจง ..........มหาเวสสันดรคำกลอนชุดนี้ กระผมแต่งเล่าเรื่องเพราะเคยเล่าปากเปล่าบ่อย ๆสมัยเทศน์หกกษัตริย์ เป็นหัวหน้าคณะนักเทสน์ ต้องคอยสรุปเนื้อหาให้ญาติโยมได้รู้เรื่องที่พระเทศน์เป็นกัณฑ์ ๆ ก่อนจะขึ้นเนื้อหากัณฑ์ใหม่ จึงต้องจดจำเนื้อเรื่องทั้งหมด ประกอบ กับสมัยเรียนวรรณคดีไทยก็เลือกเรื่องมหาเวสสันดรชาดกเป็นหลัก จึงทำให้ได้เรียนเนื้อหาค่อนข้างละเอียด บวชอยู่เจ็ดพรรษาเทศน์หกกษัตริย์สิบกว่าครั้ง เทศน์มหาชาติบุญเดือนสี่ ห้าหกครั้ง ทำให้อยากเล่าเรื่องเป็นกลอนแปด น่าจะเล่าจนจบเรื่องได้ ทดลองดูก็จบจนได้แหละน่า จึงรวบรวมมานำเสนอออนไลน์ ผ่านมาหลายปีแล้ว ต้นฉบับยังเก็บไว้อยู่ พอดีนึกสนุกอยากอ่านผลงานเก่า ๆ ดูว่ามีฝีมือแค่ไหน อ่านแล้วก็ขำ ๆ เห็นข้อบกพร่องมากมาย ก็ตอนนั้นชัวโมงบินยังน้อยอยู่นี่นา ก็ได้แค่นั้นก็บุญแล้ว พูดมากไปแล้วมาดูฝีมือการเขียนกลอนสมัยวัยรุ่น ดู ----------------------------------------------------------------------------------------------------- ...................กัณฑ์ทศพร ๑๙ พระคาถา กลอนแปด ปฐมบททศพรเจริญคุณ........................สิบเก้าสุนทระกถาสถาพร เริ่มนิทานเล่าถึงแต่ปางก่อน.................ตอนทวยเทพผุสดีสิ้นสุดวาร มีตำนานบอกเล่าก่อรเก่ามา.................คราต้องลงเมืองมนุษย์จุดไขขาน เคยสั่งสมบารมีอธิการ...........................เป็นมารดาโพธิสัตว์เป็นมั่นคง ลางบอกเหตุถึงคราวจักจุติ...................เบื่อวิมานร้อนจิตพิศวง เครื่องประดับงดงามตามที่ทรง..............กลับหมองลงมิงามตามที่เป็น สามภูษาเครื่องทรงผลงกต...................หมดสง่าดูหมองตรองตามเห็น พระเสโทโทรมกายทนยากเย็น..............รังสีเช่นจะอัเฉาชวนเศร้าใจ นิมิตห้าเกิดมาคราสิ้นสุด.....................จักจุตติม่นคงมิสงสัย รีบรุดเฝ้าอินทาเทวราช.........................จักคลาคลาดลงเกิดประเสริฐสมัย ขอพระพรสิบประการพระทรงชัย..........ประทานให้สมประสงค์จำนงนวล หนึ่งขอให้ได้ประทับสีพีราช.................ร่วมครองราชเวียงวังดังสงวน สองมีเนครคมขำงดงามควร..................ชวนชื่นชมดุจนัยนาทราย งามขนงเขียวสดดังสร้อยศอ.................มยุราพอกันคิ้วโฉมฉาย สี่ขอนามผุสดีมิกลับกลาย....................ห้าลูกชายยิ่งใหญ่บารมี ใฝ่กุศลผลบุญคุณประเสริญ................เป็นหนึ่งเลิศน่าชมสมศักดิ์ศรี โพธิสัตส์ยิ่งใหญ่ในปฐพี.......................ขออย่ามีพระครรภ์ป่องมิงดงาม พระถันงามสดสีมิมีเหี่ยว........................มิได้เกี่ยววัยชราน่าเกรงขาม ดังสาวรุ่นรูปทรงของนงราม..................สง่ายามพบเห็นเป็นมงคล แปดเกศาดำดุจปีกแมงภู่......................ฉวีดูดังสุวรรณโดยกุศล มีอำนาจช่วยเหลือเกื้อทุชน..................ให้หลุดพ้นโทษประหารเหลือจำจอง คงตลอดชีวิตก็พอแล้ว..........................ช่วยให้คล้วโทษตายคลายใจผอง กลับมาทำความดีตามครรลอง............สมควรต้องสั่งสอนให้กลับใจ สิบประการขอพรเทวราช.......................มีประกาศประทานมิสงสัย กราบทูลลาพรองค์สหัสสนัย.................จุติไปบังเกิดบุญบันดาล ----------------------------------------------------------- ............................. กัณฑ์หิมพานต์ ๑๓๔ คาถา กลอนแปด เทพบุตรจุติลงมนุษย์โลก......................โชคได้เกิดในวังอลังการ มัทราชราชวังบริพาร.............................ชื่นชมท่านกุมารีถวายพระพร ทรงพระนามผุสดีนารีเลิศ......................งามประเสริฐยอดหญิงมั่งสมร เจริญวัยงดงามสวัสดิ์บวร.....................นาถบังอรเลิศลักษณ์ศิริวิมล ต่อมาชาวสีพีมีประกาศ........................สู่ขอนาถเป็นรานีมิสับสน แห่งพระเจ้าสญชัยเกริกไกรกล............จันทร์เจิดจนส่องสว่างกลางนภา ครองสมับัติรัชกาลสราญ์เลิศ..............สิ่งประเสรฺฐลาภยศปรากฏหนา สรรเสริญสุขแรงหนุนเพราะบุญญา.....เพชรจินดาไหลหลั่งคลังไพบูลย์ สองสุขสองสมสองทรงครองราชย์......พระหน่อนาถบุญใหญ่ครองไอศูรย์ คราหนึ่งเสด็จเลียบกรุงสีพี..................พระผุสดีประสูติราชบุตรวิบูลย์ เวสสนดรพระโอรสอนุกูล.....................ฉัททันต์ทูนถวายเศวตคชาธาร นัยว่าเป็นคู่บุญลงมาเกิด.....................สิ่งประเสริฐสี่แหล่งมหาศาล ขุมทรัพย์ใหญ่เกิดด้วยอำนวยการ....พระกุมารจักเพ็ญบุญบารมี ปัจจนาคนาเคนทร์นามช้างเผือก.....ดังทรงเลือกฟ้าฝนดลวิถี ล้วนอุดมสมบูรณ์พูนทวี......................ชาวธานีสุขสันต์สถาพร เจ้าชายเวสสันดรใจบุญ......................ชอบเกื้อหนุนเพ็ญกุศลสโมสร เปิดโรงทานสี่ทิศทรงบทจร.................ประชากรรอรับบำเพ็ญทาน เสร็จที่หนึ่งจึงผ่านไปที่สอง.................ชาวเมืองจ้องภูวนัยต่างไขขาน อยากจะเห็นพระองค์ยามทรงงาน.....สุขสราญที่ได้ชมพระบารมี กล่าวถึงเรื่องเมืองกลิงคราษฎร์.........ภัยประหลาดผู้คนหม่นหมองศรี เกิดภัยแล้งนับนานถึงเจ็ดปี..............คนไม่มีธัญญาหารลำบากลำบน ยินข่าวเมืองสีพีไม่มีแล้ง.....................ดังเทพแต่งน้ำท่าทุกแห่งหน ล้วนอุดมสมบูรณ์ประชาชน...............ไร่นาผลดีมากมิยากการ ล้วนเพราะบารมีองค์กษัตริย์..............จึงขจัดเภทภัยแผ่ไพศาล ทั้งยังมีปัจจนาคคชาธาร...................ช่วยบัลดาลฟ้าฝนชลธา หากแม้นเมืองกลิงมีบุญบ้าง..............จืดต่อทางสีพีสืบเสาะหา ขอช้างต้นปัจจนาคเดินทางมา........อยู่พาราจักหยุดแล้งได้แน่นอน พระราชาเห็นด้วยให้ช่วยคัด.............พราหมณ์สันทัดการขอเคยฝึกสอน ล้วนระดับพ่อครูไปวิงวอน..................คชาธรขอได้ไม่ยากเย็น คณะพราหมณ์แปดคนรับมอบหมาย.บ่ายหน้าไปสีพีแสนทุกข์เข็ญ หนทางไกลบุกป่าฝ้าดงเป็น..............เจ็บป่วยเห็นลำบากหากอดทน พบแม่น้ำข้ามมาว่าลำบาก................ยิ่งยุ่งยากเขาเขินแลไพรสณฑ์ นานนับเดือนเขตสีพีที่กังวล..............พบผู้คนถามไถ่จนได้ความ พ่อเมืองทานเมตตามหาเวสส์.............เชษฐ์บุรุษยิ่งใหญ่ใครก็ขาม ชอบตรวจตราบ้านเมืองทุกเขตคาม..ยามพบเห็นปวงประชาท่านอาดูร ถามสุขทุกข์บางคนเดือดร้อนหนอ....กราบทูลขอทรงช่วยด้วยเกื้อกูล เมตตาท่านมากมีทวีคูณ......................ท่านเพิ่มพูนบารมีด้วยปรีชา อภิษกเจ้าหญิงมัททราษฎร์..................นามพระนาถมัทรีกนิษฐา งดงามเยี่ยงหญิงงามเทพธิดา.............จุติมาจากสวรรค์กํดุจกัน พระเจ้ากรุงสญชัยสละราชย์...............ให้ฝ่าบาทพระเวสสวิเศษสรรพ์ เป็นราชาสีพีเลิศราชัน........................บ้านเมืองนั้นสงบสุขสถาวร ต่อมามีโอรสและธิดา...........................คือกัณหาชาลีศรีสมร เป็นสุดรักแห่งบิดาพระมารดร............ประชากรชมชื่นพระบารมี กิจวัตรราชามหาเวส...........................ชอบตรวจเขตพาราสาวถี ดูสุขทุกข์ปวงประชาชาวบุรี...............ทุกข์ภัยชี้ช่วยเหลือเกื้อบรรเทา ชาวประชาสรรเสริญเจริญสิ้น.............ยินดียิ่งพระราชาแห่งพวกเขา ทศพิธคุณธรรมล้ำชาญเชาวน์..........ทรงถือเอาเป็นวัตรพิพัฒนา ชาวพาราสีพีสุขีสงบ............................พบกษัตริย์ทรงคุณอุ่นหรรษา สุนติสุขทั่วไปในพารา..........................ปวงประชาแซ่ซ้องพระภูมี กล่าวถึงเมืองห่างกันกลิงคราฎร์........อุบาทว์แห้งแล้งนักดังยักขี มาสาปแช่งแกล้งคนลนอัคคี...............ชีวีแทบดิบดิ้นสิ้นพารา ราชครูผู้คนเสาะทางแก้.......................นับตั้งแต่เรื่องง่ายธรรมดา แหนางด้งนางแมวก็ทำมา...................มัมีท่าฝนจะตกมันแล้งเกิน ข่าวทางเมืองสีพีอุดมสุข.....................ทุกแห่งหนชลธามิขาดเขิน ข่าวลือว่าราชาท่านบังเอิญ................ทรงเจริญช้างทรงมีบุญญา อยู่หนใดน้ำฝนมิเคยขาด....................อาจทำให้หายแล้งได้จริงหนา ควรส่งคนไปขออัญเชิญมา.................ช่วยพาราเมืองกลึงถึงจะดี พระราชาสั่งให้ได้จัดการ.....................พราหมณ์ขอทานสุดยอดำปดูถี แปดยอดพราหมณ์รีบไปมิรอรี...........หลายราตรีมาถึงเมืองปลายทาง พบชาวบ้านสอบถามถึงบ้านเมือง....ได้หลายเรื่องสงสัยได้สรสาง พระราชาเวสันดรชอบเดินทาง...........อ้างตรวจการโรงทานประจำวัน สี่มุมเมืองโรงทานท่านตั้งอยู่................มาตรวจดูประจำคำเขาสรรพ์ เรื่องราชามาเยี่ยมโรงทานนั้น.............คนรู้กันกิจวัตรเวสสันดร โอกาสดีแปดพราหมทำหน้าที่..........พบภูมียามเช้าอุทาหรณ์ บอกเรื่องราวเดินทางหาภูธร.............ด้วยเดือดร้อนบ้านเมืองแห้งแล้งเกิน ทราบเรื่องบุญบารมีพระปกเกศ........องค์พระเวสใจกุศลคนสรรเสริญ เมตตาช่วยผู้คนทรงดำเนิน..............ใคร่จักเชิญปัจจนาคคชาธาร ไปโปรดเราชาวกลึงให้หายแล้ง........ฟ้าดินแกล้งเจ็ดปียากจักขาร เดือดร้อนนักขสดฝนกันมานาน......ขอภูบาลเมตตาทรงปราณี อนุญาตข้างทรงไปปรากฏ.................เป็นเกียรยศชาวกลิงจริงเป็นรศรี บ้านเมืองจักร่มเย็นทั่วธานี................อาจจักมีฟ้าฝนชลธา สมเด็จองค์พระเวสส์ทราบเรื่องราว..โอกาสคราวเพ็ญบุญยากนักหนา ประทานให้ด้ายมีพระเมตตา..............สูจงพาปัจจนาคเดินทางไป เรื่องราวทรงประทานคชาชาติ..........ชนเกรี้ยวกราดโกรธเคืองยิ่งไฉน ยื่นฟ้องร้องพระองค์กรุงสญชัย.........จงขับไล่ราชาเวสส์ทันที ทรงเรียกองค์พระเวสมาปรึกษา.......ยามประชาโกรธเคืองตวรหลบหนี การประจันต่อหน้ายากราวี...............อาจจักมีเหตุร้ายศึกดังไฟ จักขอหลบหลีกหนีลองดูก่อน.........บ้านเมืองร้อนเมื่อเย็นเป็นไฉน คงรู้ดีรู้ขอบตอบต่อไป........................คงจักได้คืนบ้านย่านนคร --------------------------------------------------- ทานกัณฑ์ 209 คาถา กลอนแปด ก่อนจากไปขอบำเพ็ญกุศลกิจ........ตามที่คิดเอาไว้ไม่ทอดถอน สตสัตตกมหาบวร..............................ทานปกรณ์เจ็ดสิ่งเจ็ดร้อยควร ช้างเจ็ดร้อยมารถก็เจ็ดร้อย..............มิใช่น้อยหญิงงามทรามสงวน เจ็ดร้อยนางทาสชายที่คำนวณ........เจ็ดร้อยถ้วนเท่ากันมาทำทาน นางทาสีและโคอย่างเจ็ดร้อย.............มิใช่น้อยเจ็ดสิ่งตามกล่าวขาน สตสตกเจ็ดร้อยคำนวนการ..............เจ็ดสิ่งท่านเพ็ญบุญบารมี เลื่องลือไกลมหาทานการกุศล..........ล่วงลุบนแดนสวรรค์ในวิถี ล้วนแซ่ศร้องสรรเสริญทั่วธาตรี.........เฉลิมศรีโพธิสัตว์บำเพ็ญบุญ เสร็จลำลาพระบิดาคราจำจาก..........ถึงคราวพรากอยู่ดีมีพลุงหนุน สุขสวัสดิ์โรคภัยอย่าได้รุน..................รุกรนคุณปิตุเรศจงคลาคลาย พระมารดาสงบสันต์อย่างได้โศก.......ถึงวิโยคยังสนิทเสน่หฺสาย รักบิดามารดาชีวาวาย........................จวบจนตายยังรักมั่นนิรันดร ขอพระคุณบุญคุ้มปิตุเรศ....................ปกปักเกศพระมารดาอย่าทอดถอน กราบลาเสร็จกำหนดบทจร...............จากนครสีพีเคยอยู่เย็น จำจากลาปราสาทเวียงวังแก้ว............จักไกลแล้วห่างไกลสูไพรสณฑ์ คงเงียบเหงาพงไพรไร้ผู้คน...................น่ากังวลคงคะนึงถึงพารา คงเพราะมีบาปกรรมแต่หนหลัง...........จึงจากวังจากเวียงเสียงหรรษา เสียงดนตรีปี่กลองรำมะนา...................เสียงกัญญาร่ำร้องเริงรำบำ กล่มเสนามาส่งให้กลับไป.....................สี่องค์ได้บทจรตามลำพัง จบทานกัณฑ์ 209 คาถา ---------------------------------------------------------- .........๔. กัณฑ์วนประเวศน์ ๕๗ พระคาถา ---------------------------------- กลอนแปด เมื่อรถทรงทรงรถมิได้แล้ว.....................คงมิแล้วบทจรมิอยากหวัง ขึ่คอพระบิดาคราเหนื่อยหนัก..............ชาลีจักเดินยากแล้วแม่จ๋า เกาะหลังพ่อสบายหน่อยจนหลับตา...น้องกัณหาแม่อุ้มสลับเดิน นกอะไรป๊กป๊กมันร่ำร้อง........................ก้องในดงลำเนาล้วนเขาเขิน โพรดกแหละแม่มันเคาพเพลิน.............มันบินเหินหาหนอนจรตระเวน เจอไม้แห้งด้วงหนอชอนไชอยู่..............นกมันรู้สับไม้ไล่จนเห็น จับได้กินหาเหยื่อดูยากเย็น..................ที่แลเห็นนกอะไรหางยาวยาว นั่นนกยูงบินบนยลที่หาง......................ยามย่องยางบนดินอวดสาวสาว จะแผ่หางรำแพนดูแพรวพราว..............เสียงเพราะราวขับเพลงบรรลงพิณ จู้ฮุกกรูนกเขาอารมณ์ดี........................เพราะรู้มีนกสาวอารมณ์ศิลป์ เพลงเพลินเพราะร้องไปให้ได้ยิน..........คงโบยบินมาพบสบคู่ครอง เสียงเซ็งแซ่สาระพันนี่นันนั่น.................สนุกกันต้นไทรสุกทั้งผอง สนุกกินอิ่มแล้วร่ำทำนอง......................ฉันอิ่มท้องลูกไทรอร่อยเกิน ปัก เป้ก เป้ก เสียงไรแปลกนัดนั่น........เสียงเนื้อมันเรียกคู่บนเขาเขิน พวกเก้งกวางมากมายมันคงเพลิน......เดินเล็มหญ้าโน่นไงกวางดาว ละมั่งทรายก็มีดีน่ารัก..............................มิรู้จักกลัวคนเลยสาวสาว กะรอกกะแตไล่เล่นมันไต่ราว..................บ้างเหินหาวไต่เต้นเกาะกิ่งโยน มากหมู่ลิงหมู่ค่างบ่างชะนี......................มากมายมีโลดไล่ไหนห้อยโหน มันแคล่วคล่องว่องไวไล่กระโจน............ปลายกิ่งโอนหนักค่างต่างแย่งไป นับนานเนิ่นเดินดงพ้นพงป่า.................เห็นประชาชาวบ้านพาลสังสัย เก็ยของป่าหาชันยางจากไพร...............ต้นเต็งใหญ่ตันรังหยาดหยดมี เป็นยางไม้หยุดไหลลงสู่พื้น....................นานวันคืนกองใหญ่ในวิถี เก็บเอาไปชาวบ้านเรีกยขี้ซี...................คุณค่ามีปนน้ำมันทำชันงาม ฟังเขาบอกต่อนี้เป็นบ้านป่า..................เขตพาราเจตราชเชิญไถ่ถาม เดินอีกสักสองวันเป็นเขตคาม..............ดำเนินตามเขาบอกออกเดินจร ท่านเจ้าเมืองยินข่าวสี่กษัตริย์...............ทรงพลัดพรากไกลห่างกลางสิงขร ให้คนทูลเชิญสู่นคร.................................แบ่งภูธรปกครองกึ่งธานี ทรงขอบคุณน้ำใจเจตราช.....................ด้วยฝ่าบาทมีกิจตามวิธี โพธิสัตว์เพ็ญเพียรบารมี........................จำต้องหนีห่างไกลในไพรพง พระราชาเจตราชคาดเลื่อมใส................จัดหาให้สิ่งของต้องประสงค์ เรียกพรานไพรเจตบุตรสั่งเจาะจง..........คุ้มครองวงศ์สี่กระบัตริย์บทจร พักผ่อนแล้วอำลาพากันจาก..................มิยุ่งยากเดินไปในสิงขร สี่พระองค์อำลามาแรมรอน......................ฝ่าดงดอนห่างไกลในแดนดง ยินคนเล่าคีรีนามวังกฎ............................มีดาบสฤาษีล้วงไหลหลง ไปบำเพญบารมีเป็นมั่นคง.......................พระประสงค์จักไปคือปลายทาง ดำเนินต่อเข้าเขตป่าดงดิบ.....................เนินเขาแลลิบลิบยากสะสาง นับร้อยเขาพันเขาอินทร์พรหมวาง.........ช่างสลับซับซ้อนทางจักไป นายพรานไพรเจตบุตรก็เป็นห่วง.............เดินนำล่วงนับนานมิสงสัย ทพเครื่องหมายเดินทางกลสงพงไพร.......ล่วงเขตได้เคยเทียวจับเก้งกวาง แต่นี้ไปเขตเขาคีรีวงก์...............................ที่พระองค์จักไปแนวไพรขวาง มีลำธารสายนี้สังเกตทาง..........................ต้นน้ำอ้างไหลจากยุคันธร ผ่านคีรีวงกตเจตราษฎร์...........................ยังพาดผ่าสีพีศรีนคร สุดท้ายลงทะเลใหญ่ใคร่จักจร.................เดินทางย้อนต้นน่ำไปในดง คงจักถึงบรรพตนามวงกฏ.......................ที่ดาบสทั่วไปมักไหลหลง สงบสงัดงดงามพุ่มไพรพง........................ขอโปรดจงดำเนินสวัสดี กัณหาวิ่งนำหน้าเลียบชลธา...................ตามมรรคานำวิถี คล้ายคนมาแต่งแปลงสะดวกมี................กวาดใบไม้เหมือนชี้ให้ดำเนิน ชาลีไล่ตามหลังมิยั้งหยุด..........................ในที่สุดรอก่อนมองผิวเผิน มีโขดหินต้นไว้งดงามเกิน.........................แต่บังเอิญสรรพสัตว์มากมายมี นั่นมดดำมดแดงล้วนแข็งขัน...................ช่างขยันหาบหามอันใดหนี ซากตัวใหญ่อาหารสามัคคี.......................ประจำที่ลากขนจนเคลื่อนไป พวกจิ้งจกตุ๊กแกไปห่างห่าง......................กีดขวางทางอาจตายมิสงสัย ทหารมดพิษสงมดคันไฟ............................รุมเกิดภัยดับแน่ล้วนเหล็กไน พวกกบเขียดมากมายหายมิเห็น.............มันซ่อนเร้นดีนักชักสงสัย เขี่ยใบตองคว่ำอยู่พลิกด้านใน.................เขียดตกใจโดดลงในลำธาร ตามไปดูว่ายมาปลาฝูงใหญ่......................เสียงอะไรลงน้ำทำใจหาญ เลาะมาดูรู้เห็นอาจเป็นการ......................ได้อาหารเสียงดูได้รู้จริง กบเขียดลงดำน้ำมันรีบหลบ....................หามีพบง่ายดอกรีบสู่สิง มีใบไม้ซอกหินหลบแล้วนิ่ง.......................อย่าไหวติงถึงตายวายชีวา ทั้งปูปลางูเงี้ยวเที่ยวเสาะอยู่.....................หากมันรู้จับตายง่ายนักหนา หลบให้ดีปลอดภัยได้คืนมา......................โชคชตาไม่ดับกลับอีกที เห็นทางเดินจงกรมยินดีนัก......................อยากรู้จักไปเฝ้าเจ้าฤาษี อจุตตะนามท่านกระทำพลี.......................เทพอัคคีบนบานมานานนม ถามหนทางจักไปเขาวงกต......................ท่านนักพรตบอกให้ได้ความสม มิไกลดอกเจ็ดวันชนนิยม........................เขตนิคมวงกตมิวุ่นวาย --------------------------------------------------------- จบกัณฑวนประเวศน์ ๒๐๙ พระคาถา เริ่ม5. กัณฑ์ชูชก ๗๙ พระคาถา . -------------------------------------------------------- กลอนแปด ชูชกพราหมณ์เรื่องเล่าคนเขาลือ...........แกยึดถือขอทานเชี่ยวชาญหลาย ได้เงินทองสะสมไว้มากมาย......................มีสหายอยู่บ้านกลิงบุรี ได้ฝากเงินกับเพื่อนเหมือนคลังใหญ่......สบายใจขอทานย่านวิถี วันเวลาผันผ่านนับนานปี........................อยากจักมีบ้านช่องตรึกตรองนาน ไปขอคืนเงินฝากมิยากนัก......................คงพอจักสร้างตนจนเสร็จสาน มีนาสวนก็ดีมีเรือนชาน.............................กลับไปบ้านเมืองกลิงพบเพื่อนยา ขอเงินทองฝากไว้คืนให้ด้วย....................คงจักช่วยตั้งตนจึงด้นหา เพื่อนตกใจแทบตายวายชีวา...................เงินแกข้าลงทุนซื้อของไป คงอีกนานจักคืนแกชูกชก......................หากข้ายกลูกสาวจะรับไหม เป็นเด็กดีรูปงามหนาทรามวัย.................เรียกมาให้รู้จักน่ารักนาง อมิตตาทราบเรื่องมิเคืองขุ่น....................กระทำบุญแทนใจได้สะสาง หนี้สินพ่หลายหมื่นคืนเขาพลาง............ดังทาสข้างตัวเราแทนพระคุณ ข่าวเล่าลือทั่วบางนางสาวน้อย..............หนุ่มหนุ่มคอยฝากรักชักหันหุน เสียทีตาพราหมณ์เฒ่าเขามีบุญ..........ได้เนื้ออุ่นเป็นเมียข้าเสียดาย ฝ่ายอมิตตาน่ารักรู้จักฮีต......................ตามจารีตครองเรือนเหมือนสืบสาย กุลสตรีดีงามยามมีชาย..........................ครองคู่หมายเป็นศรีแห่งครอบครัว ทำกิจบ้านการเรือนเรียบร้อยหมด.......ใครเห็นอดสรรเสริญแม่ทูนหัว เป็นคนดีชั่งกระไรไม่เห็นกลัว................หนักเบาทั่วทำงานตัวเป็นเกลี่ยว เฒ่าชูชกแสนสบายเมียดียิ่ง.................เธอดีจริงงานใดไม่เคยเหลียว หนักก็เอาเบาก็จำทำเก่งเชียว.............ยอดเยี่ยมเทียวแม่เรือนอมิตตา หนุ่มแก่เห็นกลับไปให้แม่บ้าน..............ขยันงานแบบนั้นบ้างสิหนา เมียชูชกตาเฒ่าเราเห็นมา....................ยอดเยี่ยมหาใครเทียบเปรียบนวลนาง ปากสองปากมิกระไรไม่มีผล.................แต่มากคนทั้งเมืองเรื่องจะสาง พวกแม่บ้านโกรธพลันกันทั้งบาง........โกรธเคืองต่างเจ็บใจไปด่าทอ นี่แน่ะเฮ้ยอี่นางมีผัวเฒ่า........................มึงก็เยาว์ยังสาวรุ่นนี่หนอ มิรู้คิดหาผัวหนุ่มหนุ่มพอ......................ใยมึงขอตาเฒ่ามาครองเรือน หน้าตาก็สะสวยหาผัวง่าย....................จับผู้ชายแก่เฒ่าเราว่าเหมือน ได้คางคกขึ้นวอหนอดวงเดือน............ทำแชเชือนมีผัวกลัวอดชาย เจอเป็นด่าค่อนแคะกระแหนะกระแหน...จนย่ำแย่อยากลี้หลบหนีหาย กลับมาเรือนร่ำให้แทบวางวาย.............สุดแสนอายผู้คนหนาพ่อพรามหณ์ ช่วยหาคนรับใช้มาให้หน่อย.................คงจักค่อยดีบ้างช่างน่าขาม ปากผู้คนดุด่าว่าทุกยาม.......................บ้างก็ตามถึงบ้านด่าปาวปาว ชูชกรู้หนักใจไฉนนี่................................ใครจักมีศรัทธาหนาเมียสาว ให้ลูกเต้าทานให้เป็นเรื่องราว...............มาถึงคราวคิดหนักเพราะรักนวล มีบางคนประชดปดตาเฒ่า...................มีคนเขาบอกมาอย่าเพิ่งสรวล ท่านพระเวสทานแน่อย่าเรรวน.............จงรีบด้วนไปขออย่ารอรี มีพลังฮึดสู้ตูไปแน่..................................ด้วยรักแท้มากนักรักโฉมศรี พี่จักไปขอทานพระภูมิ..........................หากโชคดีคงจักได้สองกุมาร อมิตตาจัดเสบียงยัดย่ามใหญ่..............ตาเฒ่าได้สะพายคล้ายทหาร ออกเดินทางด้วยหวังจักพบพาน.......ผู้จักทานบุตรธิดาอยู่หนใด ไปสีพีหาข่าวองค์พระเวส......................พอเข้าเขตถามหาเป็นไฉน ถูกชาวเมืองเขาด่าว่าจัญไร..................แกจักไปรบกวนพระภูธร ต้องหลอกลวงหลายเล่ห์จนได้ข่าว......รู้เรื่องราวพระองค์เสด็จจร จากบ้านเมืองสู่ไพรในสิงขร..................พระแรมรอนมุ่งไปในหิมวันต์ แกะรอยตามเส้นทางอย่างถี่ถ้วน.........พระสมควรไปวงกฏกลางพงพี มินานเดินถึงเขตเขตบุตร....................สุดน่ากลัวหมาพรานผ่านวิถี มับเห่าไล่จักกัดฟัดแน่มี.......................แกรีบหนีปีนต้นไม้ไล่หมาไป เจตบุตรยินเสียงหมามันเห่า.................มาเห็นเฒ่าขอทานถามไปไหน จะตามหาพระเวสภูวนัย........................ทรงแรมไพรมานานจากบ้านเมือง คงจะไปรบกวนพระองค์ท่าน...............จักสังหารตกตายให้หายเคือง ชูชกร้องอย่าอย่าเดี๋ยวมีเรื่อง...............มิอยากเปลืองคารมเอ็งจงฟัง ข้าเป็นทูติสีพีมีโองการ.........................อัญเชิญท่านพระเวสเรื่อหนหลัง ล้างมลทินหมดได้ให้กลับวัง.................ข้ารับสั่งมาเชิญพระภูธร กระบอกสารนี่ใงไอ้พรานป่า.................ดูหมิ่นข้าโทษหนักรีบไถ่ถอน ไล่พวกหมาห่างไกลใจรอนรอน...........น่ากลัวตอนมันจะกัดใจจะวาย มันอวดบั้งน้ำพริกเป็นตราสาร............เจ้าพรานไพรก็เชื่อเอาเหลือหลาย เชิญท่านทูติลงมาหมาวุ่นวาย.............เดี๋ยวตีตายท่านทูตกลัวพวกแก พักแรมกับพรานไพรได้คืนหนึ่ง.........รุ่งเช้าจึงจากไปมิแยแส พวกหมาพรานรู้แล้วมันมิแล..............เฒ่าพราหมแถเป็นทูติกรุงสีพี แบกบั้งแจ่วเทิดทูนราชสาส์น............ลับตาพรานยัดลงถุงดีหลี เดินทำเฉยอันตรายย่อมไม่มี...............ขงเขตนี้พรานไพรลาดตระเวณ เดินทางเหนื่อยหลายวันก็พลันถึง.....บ้านตองตึงหลังคาได้มาเห็น คงมีคนอยู่แน่คงจักเป็น.......................ดาบสเช่นนักพรตเป็นแน่นอน เข้ามาใกล้ไหว้ท่านพระฤาษี...............ตัวข้านี้ชูชกนำอักษร ราชสานส์มาส่งองค์ภูธร......................เวสสันดรในดงกลางพงไพร กรุงสีพียกโทษแต่หนหลัง....................มีรีบสั่งคืนธานีมิสังสัย ข้าอัญเชิญตราสารพระทรงไชย..........มามอบให้องค์พระเวสรับบัญชา พระฤาษีรับฟังมิสงสัย...........................ก็ตามใจพักก่อนหนึ่งคืนหนา วันพรุ่งค่อยต่อไปในมรรคา.................อาตมามิติดใจตามสบาย เรื่องจักไปคีรีเขาวงกฏ.........................กำหนดไปพรุ่งนี้ตอนสายสาย ไปทางนี้เลียบธารมิวุ่นวาย..................ผองสัตว์ร้ายมิมีสะดวกจร พรุ่งนี้เช้าอาตมาเข้าป่าลึก..................ตื่นแต่ดึกท่องไปในสิงขร สองสามวันค่อยกลับจากดงดอน.......เชิญพราหม์ก่อนจากไปในคีรี --------------------------------------------------------------- จบ 5. ชูชก 79 คาถา เริ่มกัณฑ์ ๖ จุลพน 35 คาถา ---------------------------------------------------------------- กลอนแปด นายพรานไพรเจตบุตรเจอชูชก.........มันยกบั้งแจ่วงบองมองดูนี่ ราชสาสน์พระเจ้ากรุงสีพี....................มีรับสั่งเชิญพระเวสกลับกรุงไกร กูเดินทางลำบากมากนักนี่................ยังจะมีหมาบ้ามาจากไหน จะกัดกูราชทูติได้อย่างไร....................เดี๋ยวก็ได้โทษคัดหัวชั่วโคตรแก เชื่อสนิทเรียกหมามาห่างห่าง.............ต้องล่ามอ้างมันดูรู้กระแส คนเข้าเล่หฺอยากฟัดให้ดับแด.............หมามันแลดูออกคนหลวกลวง เชิญท่านทูตพักเพิงอยู่ทานนั้น..........มีแบ่งปันข้าวปลาข้ามิหวง ทับข้าพักสบายใจภัยทั้งปวง...............มิอาจล่วงป้องกันหลายชั้นเชิง เพิงอยู่สูงเสือสางโดดมิถึง....................เป็นที่พึ่งพักพิงมานานเหิง ข้าทำไว้ดังเรือนแม้แค่เพิง....................มั่นคงเกิ่งเรือนชานเบิกบานใจ ยามเย็นแล้วข้าจักเที่ยวตระเวณ.........พวกอีเหนเก้งกวางลงที่ไหน หากโชคดีจักจับสักตัวไว้......................จึงจะได้กลับบ้านสะเบียงมี เช้าตืนมาตาพรานบอกชูชก...............ตกเขตนี้เริ่มป่าพนาลี เคยเที่ยวป่าหากินมานานปี.................ทึบพงพีมากมายพฤกษ์พงไพร โน้นคือเขาคันธมาท์นอันลื่อลั่น..........มากมายพันธุ์พืชหอมนานาไฉน กลิ่นตลบอกอวลส่งกลิ่นไกล................ถัดไปนั่นอัญชัญนามคีรี อุดมมด้วยสมุนไพรนานาชนิด..............ดาบสคิดปรุงยานานาวิถี มักเที่ยวหาเก็บเอามากมวลมี................แถบถิ่นนี้สมุนไพรมีมากมาย จากนั้นไปอัมวันสวนมะม่วง....................ผลดอพวงห้อยย้อยมีหลากหลาย พวกนักพรตคนธรรม์ชอบกรีดกราย....รสเลิศคล้ายของทิพน์เทพบันดล ลัฐิวันสวนตาลแน่นขนัด.........................ขึ้นแออัดมากมายทุแห่งหน ลูกตาลสุกกลิ่นหอมกระจายสกล.........ถัดไปต้นมะพร้าวขึ้นเป็นดง มีลิงค่าบ่างชะนีที่เทียวท่อง.....................บ้างก็จ้องเจาะน้ำมิลืมหลง เนื้ออร่อยเจาะกินไม่พะวง........................คนผ่านพงมะพร้าวย่อมยินดี ลองน้ำหวานชื่นใจยามได้ลิ้ม..................เยื้ออ่อนชืมติดใจไม่หน่ายหนี ดงมะพร้าวคนสัตว์ล้วนมากมี.................ส่งเสียงชี้ชื่นชมภิรมย์ใจ มะพร้าวอ่อนนุ่มเนื้อละมุนนัก..................ชิมแล้วมักลุ่มหลงมิสงสัย อร่อยน้ำอร่อยเนื้อชิมเมื่อใด....................มักอยากให้มีมากมากอยากลิ้มลอง นานาสวนผลไม้ใครปลูกไว้......................เทพแห่งไพรเสกสรรค์กันทั้งผอง มิมีคนที่ไหนมาจับจอง............................ทำสวนต้องเทพไพรให้เกิดมี นั่นมะม่วงมะขวิดมะชิดประยง..................ห้อยย้อยลงมะไฟมะฝ่าหนี มะยมมะยอมะกอกมะกรูด.........................มะพูดมะดันมะปรางมะเกลือ มะตูมมะนาวมะพร้าวมะปราง....................มะข่างมะขามมะพลับมะเขือ มะรุมมุระมขวิดติดเครือ.............................ขมเหลือมะแว้งมะอึกมะฟือง มะหวดมะหาดประหลาดมะโอ..................พิลึกมะโหหน้าเชียวหน้าเหลือง สำเนียงก็ดังลูกตาคงเคือง.......................เดี๋ยวได้เรื่องมะโหพาโลราน งามแมกไม้ในป่านานาชนิด.....................ใครนิมิตงามแท้แลไพศาล มีโมกมันโกฐสะค้านบุนนาคลอย.............นั่นแคฝอยราชพฤกษ์แลมะเกลือ ดอกไม้ซีกบานมากแลหลากสี.................มีต้นไทรรักดำกฤษณา เถาองุ่นจวงจันทน์มัลลิการ์.......................โกนทาหนามยามใกล้ให้นึกกลัว แลหมากไม้นานาสาระพัด..........................ดังใครจัดมาไว้ให้ชวนหัว มะขามป้อมมะกอกออกลูกทั่ว...................หูตามัวลองลิ้มสว่างตา มะขวิดมะปรางห่างมะพลับกับมะกอก......มะไฟบอกหวานนักมะนาวหนา มะปริงเปรียวมะฟืองหวานฟังเขาว่า........มะม่วงปามิหล่นมะเขือพวง มะยมขาวมะนาวเขียวเปรี้ยวมะกรูด.........หวานมะพูดมะนาวมะพร้าวหวง มะหวดมะหาดดาดเหลือมะเกลือทวง.......มะขือพวงมะรุมมะระมี มีมะอึกมะดันแลมะแว้ง.................................ตำส้มแตงมะเขือเครือมะนาวสี มะเขือเปราะมะเขือขื่นชื่นชีวี......................อร่อยดีมะเขือเทศมะตูมไทย ต้มดื่มน้ำก็อร่อยมิน้อยหน้า........................แทนน้ำชาเลิศดีมีที่ไหน มีแต่คนเรียกหาน่าสนใจ.............................สมุนไพรมะตูมภูมิปัญญา มากหมู่ไม้มีผลกลใดหนอ...........................พออยากได้โน้มลงตรงมาหา ให้หยิบจับเด็ดได้ในอุรา.............................แสนปรีดาไพรพงอลงกรณ์ จบจุลพนพรานไพรได้เล่าขาน...................พอผ่านถึงแดนไกลในสิงขร ถิ่นฤาษีอจุตะดำเนินจร...............................คลายรุ่มร้อนเดินดงเย็นพงไพร ---------------------------------------------------------------------------- จบกัณฑ์จุลพน ๓๕ พระคาถา เริ่มมหาพน......จนจบให้เพจนี้ ---------------------------------------------------------------------------- กลอนแปด .....ชูกชกเฒ่าเข้าป่าพนาศรี......................บุกพงพีเขาเขินเนินไศล ตามคำเล่าเจตบุตรนายพรานไพร.............กระทั่งได้ถึงด่านพระโยคี อจุตดาบสมันมดเท็จ....................................กล่องแจ่วเผ็ดมันอ้างต่างวิถี ขอรับพระดาบสสวัสดดี...............................ข้ามีงานจักไปส่งสารา เชิญพระเวสสันดรแลวงศ์วาร......................กลับคืนบ้านหนังสือที่ถือมา ในกระบอกคือสารประทับตรา.....................คือสาราสีพีกูอัญเขิญ ช่วยบอกทางไปบรรณศาลเจ้า....................จักไปเฝ้าภูวนัยในเขาเขิน แรกดาบสสงสัยนัยบังเอิญ............................มันเก่งเกินเป็นทูตค่อยวางใจ จัดที่พักหลับนอนมิร้อนจิต..........................ดูสนิทผ่อนตลายหายสงสัย ขอท่านทูตสุขสมภิรมย์ฤทัย........................จากนี้ไปหนทางช่างลำเค็ญ รุ่งเช้ามาวันใหม่ได้พบหน้า..........................พระดาบสยินดีที่พบเห็น ถามสุขทุกข์ท่านทูตเช้าร่มเย็น..................จากนี้เป้นหนทางสูแดนไกล เขาวงกฏแลเห็นโน่นลิบลับ...........................จักจับความบอกเล่าลำเนาไศล ทางดำเนินลำบากยากกระไร.......................พึงตั้งใจจดจำดำเนินจร ดูกรท่านชูชกมหาพราหมณ์........................ท่านจักตามเข้าไปในสิงขร หนทางยากลำบากในดงดอน......................ระวังตอนบุกป่าฝ่าไพรพง แลลิบโน้นเทิองเขาคันธมานท์......................สถานที่เพ็ญเพียงผู้ไหลหลง กระทำยัญชน์บูชาไตรเพทพงศ์...................ผู้มั่นคงศาสตร์เพทพิเศษชน อาศรมบทศาลาพระยาเวสส์.........................อยูาเขตเขาวงกฏลำบากหน มีป่าทึบเขาเขินเกินยากคน.........................จักดั้นด้นไปถึงหนทางไกล เขาลูกนี้ชื่อว่าคันธมาท์นฺ..............................ยามแลลานหลากศิลาเนินไศล องค์พระเวสมันทรีอยู่ด้านใน..........................ทรงเป็นไปเพียรพรตพรหมจรรย์ จักเข้าไปเป็นป่ามหาพน...............................ทุกแห่งหนมืดไม้ในไพรสัณฑ์ ล้วนประเภทแบบป่าเบญจพรรณ................ไม้สักนั้นโดดเด่นเห็นทั่วไป มะค่าโมงมิน้อยพลอยเสียดยอด...................ประดู่สอดแดงแซมแกมไสว ครบเบญจชิงชันสำคัญนัย............................จึงได้นามว่าป่าเบญจพรรณ ยังมีไม้อื่นอื่นขึ้นแกมป่า................................ต้นรกฟ้าเสลาแดงตะเคียนขัน มีเปล้าหลวงเปล้าน้อยติ้วแต้วต้น.................คำแสดชันเคียงคู่ประดู่ลาย ต้นขี้อ้ายงิ้วผาอินทนิล...................................กระมิบกลิ่นหนามเค็ดดูเป็นสาย ดอกจิกน้ำห้อยย้อยแลเรียงราย....................แกว่งกระจายนกกระปีดชอบเกาะโยน ถัดกันเป็นไผ่นานาสาระพัด...........................แน่นขนัดมืดมุงลิงห้อยโหน ชะนีค่างบ่างไล่กันกระโจน.............................กะรอกโทนลดเลี้ยวเที่ยวไพรพง กระแตกระเล็นเต้นไต่ไม้เลาะหนี....................งูใหญ่รี่ไล่ลัดสะกัดหลง รอดไปได้โล่งอกตกใขปลง.............................นึกว่าคงมิรอดดีปลอดภัย จตุบาทดาดดาในผืนป่า................................เจ้าเลียงผาปีนสูงแนวไศล นั่นผาสูงมันกลับปีว่องไว................................สมนามได้เลียงผาน่าชื่นชม มาฝูงลิงยังคงมาสงกา.....................................จะบอกว่าสองตีนหรือสี่สม สี่นั่นแหละดีแล้วเดียวมีปม..............................เขาจะชมเหมือนคนไม่ค่อยดี เก้งกวางตัวย่อมย่อมนั่นกระจง......................ดูรูปทรงดังกวางมากอีหลี ทั้งแรดช้างเสือดาวซาฟารี..............................อะไรนี่ชมเพลินเกินไปรา เปล่าหรอกน่านี่มันป่าเขาวงกฏ....................กำหนดก่อนพุทธศาศน์นานนักหนา ย่อมมีได้หมู่มวลสัตว์แปลกแปลกตา............โน่นเดินมาช้างเผือกเป็นฝูงเลย อ๋อช้างนอนปลักโคลนจนตัวแห้ง..................เหมือทาแป้งขาวโพลนมาอวดเฉย ช้างเผือกปลอมหนอกน่าคงเช่นเคย...........แค่แกล้งเอ่ยชมป่ามหาพน พวกสัตว์น้ำเล่ามีให้ชมไหม...........................สบายใจลำธารไหลวกวล มากมายมีสัตว์น้ำในสายชล..........................มีเรือกลเรือแพชมสบาย พระดาบสคงมีเรือยืมได้..................................ล่องเรือไปในธานจนสุดสาย ขอชมมวลสัตว์น้ำก่อนหญิงชาย..................จรดฝีพายเบาเบาเอ้าออกเรือ มาก่อนแล้วอ้างปลิงกระดุดกระดุบ................นึกอยากชุบแป้งทอดคงเด็ดเหลือ ปลากดดำกดคังกดแดงเขือ..........................กดเหลืองเมือชนะขาดรสชาติแกง ปลากระดี่กระเบนแลกระทิง............................ว่ายน้ำชิงทสวนน้ำพลังแรง เผลอเป็นถอยหล่นลงเพื่อนคงแซง...............ชนะแย่งต้องเก่งเร่งลอยไป โน่นกระสงกระสูบแลกระโห้...........................ปลาชะโดอวดหล่อพ่อปลาไหล กะพงกรีดปลากรายเบี้องย่ายใย...................เหตุไฉนปลาก้างห่างปลากาดำ ปลาแค้งัวแค้ยักษ์แถมแค้งู............................ปลาเค้าขาวคางเบือนจาดดูขำ ปลาช่อนดำงูเห่าช่อนข้าหลวง ....................ปลาชะโดซิวแก้วปลาดุกมูล โน่นซิวอ้าวดุกด้านแลดุกอุย........................ปลาตองลุยปลาฝามันคงสูน ตะเพียนขาวตะเพียนทองจ้องหินปูน...........ปลาค้ำคูนปลาเงินแหละปลาทอง ปลาเทโพเทพาไหนเทพี.................................ปลายักขีราหูอยู่น้ำของ เขาจับมาอวดกันว่าช่ำชอง..........................แค่ลองเล่นหาใช่จับไว้กิน ปลาเนื้ออ่อนเนื้อเย็นอยากเห็นนัก..............อ้ายหลงฮักนวลหนูเจ้ายุพิน ทั้งนวลจันทร์ปลาไนใคร่เนื้อนิล....................เพียงยลยินก็ใคร่จักชิมชม เพลินมากหนาฟังเพลินท่านดาบส..............แล้มีบทสกุณาน่ายินสม มากมวลไหมหนอท่านข้านิยม......................พนมไพรมากมวลสกุณา พระดาบสพาทียินดีประสก............................ท่านชูชกมากนักพวกปักษา ทั้งเล็กใหญ่จำเรียงเพียงสัททา......................ครุวณาพงไพรจักกระเทือน เสียงจิ๊บจ้ิบจกจกแกมก๊อกก๊อก...................ยินฟักออกเพราะกระไรหาใดเหมือน มวลปักษาร่อนร้องมิลืมเลือน.........................ฟังดุจเพื่อนสนทนาคราเดินดง เสียงเซ็งแซ่แน่ใจลูกไทรสุก............................มีทุกนกแห่มาน่าพิศวง ใครบอกมันต่างรู้อยู้กลางพง........................ล้วนบินตรงถูกที่คงปรีดา ทัดท่าท้านกกระท้าท้าใครเล่า......................เจ้านกคุ่มอืดอืดยืดหน่อยหนา จุกกรูกู้เขาขันสนั่นมา....................................นกกกกล้าก๊่กก๊ากหัวเราะใคร ใครตะแลดแต๊ดแตลงแต้วแวด......................จัลแล๊ดแล็ดกระเต็นเห็นสิ่งไหน อ้อหนูนาตังบานหลอกนั่นไง........................ถลาใส่โดนตะปบจบชีวี เสียงนกแขกแกรํกแกร็กแยกกบคู่..............แหกปากกู่ก้องดงคงไม่หนี มินานคงกลับมาขอคืนดี..............................ละแวกนี้หมากไทรดกดีเกิน เจ้าปากห่างก๊ากก๊กาขำอันใด....................โดนพรานไล่ร้อนเตือนเพื่อนมิเขิน รีบไปกันมือปืนมันดุ่มเดิน.............................จะมาเชิญไปเมืองผีไม่ดีนา นกยางร้องกรอกกรอกออกจับกบ.............สบแกยาวจับได้ยากหลุดหนา ทั้งกบเขียดกระทั่งพวกปูปลา......................ขยะนหาจับเหยื่อนกกระยาง ใครตะโกนกู๊กกูก นกฮูกร้อง.......................เรียกพวกพ้อนค่ำนี้มีกิจสาง หาเหยื่อยากลำบากกันทั้งบาง...................ไปลแงต่างถิ่นบ้างหรืออย่างไร จิลแล้ดแล้วแลดแลดนกกระเต็น..................โฉบเฮี่ยวเล่นร่อนงามตามที่ไหน นั่นคือเขตหาเหยื่อมันตาไว..........................เห็นจับได้ตั๊กแตนจิงหรีดงาม กระทั่งปลาเสร็จมันจับทันได้..........................เก่งกระไรกระเต็นเห็นนึกขาม เจอแมงซอนจ้องท่าจะมาตาม.......................แร้วถุงยามมั่นลั่นหมดท่าซี ใครเรียกหาโกต๊กกลางดงดอน...................โกเขาจรกล้บบ้านนานวิถี ให้อยู่ป่ามิไหวไม่เข้าที...................................โกแอบหนีกลับบ้านย่านในเมือง จู้ฮุกกูนกเขาใครล่าฮุก.................................คงเจ็บจุกซิท่าจนตาเหลือง ร้องปี๊ดปิ๊ดทั่วป่าจนน่าเคือง.........................ขนสีเหลือมแกมดำนกปีดแก หยุดสดับเสียงนกมันผกผัน........................ร้องนี่นันต้นไทรไม่แยแส.. เราย่องไปใตต้นยังไม่แคร์..............................สองตาแลเล็งหน้าไม้นกเขาคู เรื่องทำบาปเก่งมากมิยากดอก...................นกบินออกหนีไปให้อดสู รอนานหน่อยกลับมาเราก็รู้..........................รออยู่ยิงจนคำค่อยเลิกรา สี่ห้าตัวยินดีได้ทำบาป..................................เพราะได้ลาบได้แกงนั่นแหละหนา เราลูกทุ่งห่กินเน่ินนานมา.............................อยู่ดงป่าหากินแบบคนดง เพลินชมป่ามหาพนบ่นแลหา.......................สกุณามากมายพิศวง อีกมากมายหลายอย่างในไพรพง.................คงเลาะเที่ยวชื่นชมรมณีย์ -------------------------------------------------------------------------- .......จบกัณฑ์มหาพน เริ่ม.มหาเวสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร --------------------------------------------------------------------------- เริ่มกันฑ์กุมาร สดับคำบอกเล่าพระดาบส.........................กำหนดได้ดำเนินตามวิถี มุ่งไปยังวงกฏแดนคีรี...................................สถานที่องค์พระเวสพำนักไพร นานนับเดือนแต่บุกฝ่าดง...........................ยังมั่นคงมิท้อเพราะเหตุไหน อมิตตาเมียรักมันห่วงใย..............................หาคนใช้ฝากนางช่างยากเย็น ตัวก็เก่งขอทานเขาลือทั่ว...........................มิใช่ชั่วลำบากยากจักเห็น ขอคนไปรับใช้ยากจะเป็น...........................คนยากเข็ญยังยากจะทำทาน เขาบอกว่าพระยาเวสทำได้.......................ขอสื่งใดมิพลาดท่านอาจหาญ ช้างตัวโตคนขอแค่วอนวาน......................สำเร็จการพระองค์ให้ไม่ยายเลย นานนับเดือนล่วงถึงเขตวงกฏ..................กำหนดมองอากาศเช้าเปิดเผย เห็นอาศรมดาบสมิคุ้นเคย.........................ไปเอ่ยขอเกรงอาจผิดพลาดไป จำพักผ่อนแรมคืนดูดีก่อน.........................เข้าขอตอนพระมารดาอยู่มิไหว คงยุงยากผู้หญิงจักทำใจ...........................ทานลูกได้รอก่อนคงจักดี ชูชกปีต้นไม้ผูกอู่ผ้า....................................พักรอท่าโอกาสฉลาดวิถี ยอดขอทานชั้นครูดูสตรี.............................ล้วนมักมีใจอ่อนยากรบกวน กล่าวถึงพระมัทรีศรีสมร..............................ดึกดื่นนอนฝันร้ายชายหนึ่งหวน ตัวสูงใหญ่ผิวดำกำยำชวน........................กิ่งเกรงล้วนดุร้ายหมายฆ่าฟัน มันทิ่มแทนตาทั้งสองข้าง............................ควักตานางเจ็บปวดรวดร้าวสรรพ์ ผ่าทรวงอกล้วงเอหัวใจพลัน.......................ตกใจนั้นตื่นมาน่ากังวล เช้าไปเฝ้าพระเวสส์เชษฐบุรุษ....................มัทรีสุดโศหาพาทีสับสน ทูลเรื่องร้ายเรื่องฝันเกิดกับตน.................อัดอั้นจนร่ำไห้เช้โศกาดูร พระเวสสฟังลอกเล่าเข้าใจเหตุ.................อาเภทแจ้งเป็นลางอาจเสื่อมสูญ บุตรธิดาคงพรากพรตไพบูลย์..................มุ่งจำรูญจำเริญพระบารมี ดูกะระมัทรีศรีสวัส........................................อัตคัตเป็นอยูาดอกโฉมศรี ส่งผลให้วิปริตธาตุอัคคี..............................บังเกิดชีแปรปรวนธรรมดา ขอพระนางพักผ่อนให้มากมาก.................เจ้าลำบากสองกุมารหนักนักหนา เฝ้าเลี้ยงลูกด้วยดีตลอดมา........................เป็นบุญญาพี่ได้รับกัยเจ้ามวล ขอบคุณเจ้าเป็นพลังมิเคยขาด................สามารถดูเรื่องยากมิให้หวน กลับมาทำร้ายเราเพราะเนื้อนวล................รบกวนเจ้าแล้วหนาแม่มัทรี ฟัสพระเวสสปลอบใจยังไม่หาย..................เกรงเรื่องร้ายลำบากยากหลบหนี มันจะเกิดอันใดร้ายหรือดี..........................เข้าพงพีมิอยากไปให้กัวล เรียกสองหน่อแก้วตามาหาแม่..................จำให้แน่ลูกยาอย่าสับสน จะเที่ยวเล่นเล่นกันอย่าซุกซน..................จงเวียนวนใกล้อาศรมพระบิดา แม่เดินดงเสาะเผือกผลไม้...........................พวกมันไพรเป็นสะเบียงนะลูกหนา คงบ่ายคล้อยเย็นลงคงกลับมา.................ขอลูกยาใกล้ชิดพระบิดดา จะวิ่งเล่นไล่ก็ก็แถวนี้....................................หากภัยมีเร็วไวรีบไปหา กราบทูลให้ท่านพ่อพิจารณา.....................คงมิข้าแม่กลับรับขวัญนวล สั่งเสร็จแม่มัทรีศรีสมร...................................พระนางจนเข้าป่ามานึกหวน เรื่องสุบินมิดีนี้มันชวน..................................มารบกวนคิดมากช่างยากเย็น จะมีเหตุอันใดภัยหรือสุข...............................คงเรื่องทุกข์หรือภัยคงได้เห็น ประหลาดแท้วันนี้ช่างมาเป็น.......................หมากไม้เช่นวันก่อนมันมากมี วันนี้หายว่าเปล่าหาลำบาก.........................ขุดเผือกยากดินแข็งจนต้องหนี ย้ายไปเรื่อยสายเกินจรลี...............................จะกลับมีเสือร้ายมาขวางทาง จะถอยหลัวตัวใหญ่มันไม่หลบ......................ซ้ายก็พบอีกตัวยากจะสาง หลับไปขวาต้วร้ายมองมวาง.........................กลัวนักนางร้ำร้องก้องพงไพร ไปมิได้นั่งลงปลงชีพด้วย..............................ถึงจักม้วยขอทางโปรดจงไข จะส่งผลกระยาหารพระทรงชัย.....................สองลูกได้รับประทานอาหารกัน แล้วจักกลับคืนมาเป็นอาหาร......................ของพวกท่านพยัคฆาทุกท่านสรรพ์ ด้วยสัจจริงโปรดให้ทางไปพลัน....................พยัคฑ์นั้นนอนยิ้มสบายใจ มินมิขู่ขบกัดทำไรหรอก...............................เพียงมิออกขวางทางนางไฉน อันธพาลนักเลงมิเกรงใคร.............................เพียงขู่ให้หยูดอยู่มันรู้ดี กล่าวถึงเจ้าชูชโกพราหม์นักจอ...................มันรอจนพระมารดาเดินป่าหนี ไปหาเผือกหามันหมากไม้มี...........................ภาระนี้นางทำประจำวัน รีบไปเฝ้าถึงองค์พระทรงยศ............................ย่อมปรากฏลีลาพาทีสรรค์ พรรณนาความยากลำบากมัน......................ครอบครัวนั้นขาดคนรับใช้งาน ลำบากเมียอมิตตาภาระหนัก.........................จับหาคนช่วยนางทางประสาน รับใช้กิจที่เรือนประจำการ..............................อยู่ที่บ้านทำแทนการหนักเบา ทราบพระองค์มีสองบุตรธิดา..........................มุ่งหมายมาขอทานโฉมเฉลา โปรดเมตตาข้าจักขอรับเอา...........................พระบุตรเจ้าไปไว้รับใช้งาน สองชาลีกัณหากังขาอยู่.................................แอบฟังรู้พรามเฒ่าแกไขขาน ขอพวกตนเป็นทางคาดทำการ.....................ไปอยู่บ้านรับใช้เมียเฒ่าพราหมณ์ ชวนกันหาหลบดีที่ตรงไหน.............................แอบลงไปในสระยังเข็ดขาม กลัวเหน็บหนาวลับตายากจักตาม................หักห้ามใจแอบใต้ใบบัวกัน ฝ่่ายพระเวสสันดรฟังชูชก..............................ที่หยิบยกนานามาอ้างสรรพ์ พระประสงค์ทำทานคุณอนันต์......................ในจิตนั้นนึกทานบารมี โอกาสอุปทานระดับสอง................................ตามครรลองยากยิ่งมักหลบหนี ทำมิได้หากใจมิคงที่.......................................พระยินดีบริจาคมหาทาน ระลึกถึงบารมีโพธิสัตว์...................................พึงวิวัฒนอุดมสัจประทัสถาน พัฒนาบารมียิ่งยินนาน..................................ได้พ้นผ่านลุถึงพุทธธรรม ดูกะระชูชกเรายกให้........................................สองบุตรได้แก่เจ้าเอ้างามขำ อยู่ไหนลูกรีบมาพาก่อกรรม...........................พ่อบำเพ็ญโพธิมรรคประจักษ์ใจ ชูชกรู้สองกุมารอยู่สระบัว................................คงจะกลัวแอบซ่อนมิสงสัย ทูลทรงธรรมให้ทราบเป็นนัยนัย......................ที่สุดได้สองกุมารประทานมา สองกุมารเศร้าสร้อยละห้อยหนัก....................จำใจจักพรากไปไกลเคหา จากบิดรจากบ้านจากมารดา..........................รออำลาแม่ก่อนเถิดพระองค์ นั่นสินะมินานคงกลับแล้ว.................................ขอลูกแก้วพบนางอย่างประสงค์ แล้วค่อยไปกันเถิดดีมั่นคง................................ชูชกจงใจแกล้งพิโรธแรง อุเหม่ทานร่ำลือใจกุศล.....................................ทุกผู้คนสรรเสริญทุกเขตแขวง กระทำทานกลับมีข้อพลิกแพลง.....................หรือจะแกล้งล้มเลิกมีทำทาน มิอยากทานอย่าทานก็สิ้นเรื่อง........................มาขัดเคืองหน่วงไว้เพียงบอกขาน มิเต็มใจก็เลิกกระทำการ...................................ข้าก็หาญยกเลิกตามพระทัย เปล่าเปล่าน่าพ่อพรเหมณ์มิใช่ดอก...............อยากจะบอกเด็กกลัวอย่าสงสัย หากพูดจาพาทีคงเข้าใจ.................................ได้ยินแล้วขึ้นเถิดสองลูกยา พ่อตั้งใจบำเพ็ญโพธิสัตว์..................................ทานวิวัฒน์อุปจารนัานแหละหนา ปรมัตถ์ทานด้วยด้วยต้องพึ่งพา......................ทั้งบุตราบุตรีมีคุณธรรม ช่วยพ่อสานบารมีนะลูกรัก..............................แล้วเราจักข้ามโอฆะได้วามขำ ไปสู่แดนพุทธเขตพิเศษกรรม.........................ที่กระทำครั้งนี้ตึงสมควร สองกุมารได้ยินคำพ่อไข.................................ย่อมเข้าใจรำตรึกตรึกได้หวร มาคิดได้ยอมขึ้นแลชักชวน............................กราบบาทล้วนยินดีมิโศกา เพราะลูกน้อยช่วยพ่นี้สิหนอ..........................บุญของพ่อทำทานยากนักหนา อุปทานปรมัตถ์ใกล้เข้ามา.............................เพราะลูกยาเกื้อกูบุญเหลือเกิน พระสั่งเสียลูกยารับฟั่งเฒ่าชูชก....................ผู้ปกครองต่อไปใช่ผิวเผิน ติดตามไปรับใช้ตั้งใจเดิน.................................เชิญพ่อพราหมณ์รับไว้สองกุมาร มันหาเชือกผูกมือสองหน่อนาถ...................กระทืบบาทอวดโอ่ทำโวหาร ต่อจากนี้ข้าคือผู้บันดาล................................หลานจักตายหรือเป็นอยู่ที่เรา ตามมาเสียดีดีตีก็เบื่อ......................................ถ้าเหลืออดตีแรงอย่าทำเขลา ทำข้าโกรธระวังอย่าดูเบา...............................มาสองเจ้าเดินตามแต่โดยดี มันกระชากสองคะมำล้มคว่ำหน้า.................พระบิดาทำเลือนเบือนหน้าหนี ทรงร่ำให้ในอกโศกโศกี...................................นับแต่นี้ห่างกันแล้วหนอแก้วตา ชูชกเฒ่าอำลาพระยาเวสส.............................จากเหตุนี้แม้พระองค์ปรารถนา จะไถ่คืนยินดีมีทรัพย์มา...................................คณนาอย่างละร้อยถึงจะยอม ทาสทาสีช้างม้าโคกระบือ.................................เงินคำถือหน่วยร้อยต้องมีพร้อม เสร็จสั่งความันกะชากมิประนอม.....................มิยากกล่อมมีแต่ขูดูน่ากลัว บัดดลเกิดพยับเมฆมืดมัวมิด...........................ฟ้าก็ปิดแปลบปลาบเสียววาบหัว ครืนครืนก้องกำปนาทฟ้าฟาดทั่ว...................มันฟาดมั่วมีเรื่องมันเคืองใคร สักครู่หายกลายเป็นปกติ..................................ทรงดำริฟ้าดินมิสงสัย อำนวยพรบารมีทานเข้าใจ................................พระองค์ได้สาธุการด้วยเปรมปรีดิ์ สาธุธรรมนำมาซึ่งปราโมทย์..............................ยังประโยชน์พุทธธรรมนำวิถี พึงสำเร็จสมประสงค์จงเกิดมี..............................บุญนำชี้อมตะนิพพานพลันฯ ------------------------------------------------------------------------ .......จบกุมารกัณฑ์ที่ ๘ และ เริ่มกัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี ------------------------------------------------------------------------ กลอนแปด กล่าวถึงพระมัทรีศรีสวัสดิ์....................................เดินป่าลัดไพรพงศ์จำนงสรรพ์ ผลหมากรากไม้ดังทุกวัน......................................อัศจรรย์แปลกใจให้สงกา วานนี้มีผลมากหลากเต็มต้น...............................วันนี้หล่นเสียหายไปหมดหนา ดูต้นอื่นนิดหน่อยปลิดเอามา...............................จนเหนื่อยล้าจักกลับอาศรมไพร นองขวางหน้าพยัคฆาเจ้าเสือเหลือง...................ยังนึกเคืองหวาดกลัวหลบทางไหน ลองไปซ้ายลายโคร่งปิดทางไป...............................ทางขวาไซร้เสือดำตาลุกวาว หนทางถอยเสือดำสองตัวเฝ้า...............................ไหว้แหละเจ้าเปิดทางห่วงลูกสาว หนูกัณหาชาลีคงหิวคราว......................................แม่อยู่ยาวเวลาช้าเกินการ ขอเทพไทรุกขาปราณีด้วย....................................โปรดจงช่วยมัทรีที่ไขขาน จำเป็นมากอยากลับจนลนลาน.............................จงประทานทางให้ไปด้วยเทอญ นางร่ำไห้โศกาคราหมดหวัง...................................นางถูกขังกับที่ที่เขาเขิน ไปมิได้มันขวางหนทางเดิน.....................................เชิญเจ้าที่เมตตาปล่อยข้าไป เสือมันเฉยดูหน้าท่าแบบยิ้ม....................................แต่ก็พิมพ์อย่างเสือดุไฉน คงมิกล้าฝ่าแนวกลัวเภทภัย.....................................หนักอกใครจะมาเท่าเจ้ามัทรี จนเลยเที่ยงอ้าวโคร่งโย่งโย่ย่าง................................ลุกเปิดทางเปิดช่องย่องหลบหนี เจ้าเสือเหลืองเสือดาวมิรอรี......................................เดินตามพี่คุณโคร่งโล่งอุรา คุณเสือดำสองตัวหายไปแล้ว...................................ค่อยผ่องแผ้วในอกวาสนา คงกลับได้แล้วหนอมิรอช้า........................................ดำเนินมากลับคืนสะอื่นฤทัย เขามาเขตศาลาเลียบอาศรม...................................ก่อนภิรมย์ลลูกยามารับไฉน วันนี้เงียบมิเห็นสองทรามวัย......................................เล่นกันไกลอาศรมพระบิดา วู้ลูกรักมิเห็นรับกับแม่หนอ........................................นวลละออเที่ยวไกลไฉนหนา กลับคืนเถิดลูกน้อยเร็วแม่มา....................................ผลผลาเผือกมันแม่มากมี ล้วนอร่อยแม่สรรมันมาฝาก.......................................เจ้าลำบากแสบท้องแน่สองศรี มาแม่มารีบมาอย่ารอรี................................................เงียบมิดีภัยทุกข์มาคุกคาม พระมัทรีร่ำไห้แทบใจขาด...........................................เฝ้าพระบาทสวามีพาทีถาม เห็นสองหน่อบ้างไหมพระองค์ราม............................ข้าติดตามทุกที่มิเห็นเลย โพธิสัตว์เวสสันดรร้อนในอก.....................................หากจะยกเรื่องราวมาเปิดเผย ทุกข์มหันต์ระทบจิตทรามเชย...................................จำจักเอ่ยบริภาษให้หวาดกลัว ให้นางโกรธเสียก่อนค่อยย้อนบอก..........................หลอกให้โกรธแกล้งด่าว่าน่าหัว ปล่อยลูกหายไปเที่ยวไปแต่ตัว...................................มิห่วงผัวห่วงลูกเลยหรือไร หรือแอบเจอคนธรรพ์หรือดาบส................................กลับมาปดลูกหายหรือไฉน เจ้ามัทรีเจ้าดื้อหรือทรามวัย........................................นางร่ำไห้นึกเคือพระสามี ที่สุดองค์พระเวสบอกความจริง.................................แน่ะน้องหญิงตั้งจิตให้มั่นถี วันนี้พราหม์มาขอพระชาลี.........................................และน้องพี่ได้ประทานกัณหาไป ด้วยหวังเพญบารมีเป็นที่สุด......................................บรรลุพุทธโพธิญาณสว่างไสว พระมัทรีคับแค้นแน่นหทัย..........................................กรรแสงได้จนสลบชวนเวทนา พระหยิบผ้าชุบชลวนซับพัตร์....................................โอน้องรักร่วมแรงแสวงหา โพธิธรรมบารมีด้วยบุญญา........................................เจ้าฟันฝ่ากับพี่มิท้อเลย ปรมัตทานบุตรสุดยากยิ่ง..........................................พี่ทำจริงเพ๊ญธรรมนำเปิดเผย ฟื้นมาเถิดแม่งามเจ้าทรามเชย..................................มาเอื้อนเอ่ยความในใจเนื้อนวล สักครูใหญ่พระมัทรีมีสติ..............................................นาดำริเรื่องราวคราวแย้มสรวล ประทานโทษพี่ยาข้ารบกวน.......................................ทำพี่ป่วนในอกยกโทษนาง ทำทานลูกน้อยน้องกัฒหา.........................................พ่อชาลีอีกด้วยช่วยสะสาง เป็นมรรคาโพธิธรรมนำเบิกทาง................................พึงสว่างส่องแจ้งชัชวาลย์ สาธุาะอนุโมทนาด้วย...................................................บุญจงช่วยแผ่ไกลจงไพศาล บรรลุถึงโพธิธรรมเริงสราญ.........................................บันดาลให้บรรลุเพราะบุญดล ฯ ------------------------------------------------------------------------ จบกัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี เริ่มกัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ์ ------------------------------------------------------------------------ กลอนแปด ...สักบรรพ์บั้นองค์มฆวาน..............................................เกษมศานต์ชื่นชมบุญกุศล องค์พระเวสสันดรเพ้ญเพียรพล....................................จนฟ้าดินกัมปนาทโมทนา. มากังวลวันหนึ่งในอนาคต..............................................ใครกำหนดหวังได้พระชายา จักทูลขอก็ได้ทรงเมตตา................................................เกิดปัญหาแก่พระองค์ผู้ทรงญาณ มิมีผู้ดูแลจัดสรรหา...........................................................เตรียมภัตตาจัดให้จักไขขาน หาผู้ใดจักรู้พระภูบาล......................................................เท่านงคราญแม่มัทรีมิมีเลย ขากมัทรีมีปัญหาฝ่าพระบาท........................................ชะตาขาดแน่ใจไม่อาจเฉย ต้องลงไปจัดการเหมือนดังเคย......................................จักไปเอ่ยทูลขอพระชายา จำแลกายเป็นพราหมณ์ดูแก่เฒ่า..................................ขอนงเยาว์พระมัทรีสิเนหา อยากได้นางขอองค์พระราชา.........................................ประทานข้าเป็นบุญทูลทรงไชย ลำดับนั้นโพธิสัตว์เวสสันดร...........................................เรียกงามงอนพระมัทรีอยู่ที่ไหน มาหาพี่มีเรื่องฟนาทรามวัย.............................................มีคนใคร่รับเจ้าเป็นบริวาร พี่รักเจ้ามากมายดังดวงเนตร.........................................เพียงเพราะเหตุพี่รักจักประสาน บารมีพุทธธรรมดำเนินการ.............................................สุดยอดทานปรมัตถบารมี บุตรทั้งสองทานไปได้สิ้นสุด...........................................อุตรทานยิ่งนวลฉวี เจ้าเป็นเมี่ยดีเยี่ยมเทียมใจพี่...........................................มัทรีเจ้านางแก้วแท้แก้วตา พี่นี้รักแหนหวงดังดวงจิต................................................มิเคยคิดทอดทิ้งเจ้าดอกหนา ปรมัตถแก่งทานบุตรภรรยา...........................................ทานชีวาปรมัตถ์อรรถแห่งทาน อยากฟังเจ้าคิดไหนในกุศล............................................นฤมลบอกพี่พาทีขาน พระมัทรีเห็นไฉนหนอนงคราญ......................................วานบอกพี่จักพินิจพิจารณา พระนาถน้อยสร้อยเศร้าเข้ากราบทูล..............................พระพูนเพ็ญมัทรีนี่หรรษา คอยส่งเสริมเพิ่มพูนแต่เดิมมา........................................ข้ายืนดีส่งเสริมพระทรงชัย แม้ชีวิตยินดีมอบพระองค์...............................................หากประสงค์ขอถวายมิสงสัย จะประทานแก่พราหมณ์ก็ย่อมได้..................................ยินดีไปเป็นทาสตาเฒ่าพรหมณ์ โพธิสัตว์รับฟังทรงยิ้งคิด................................................เจ้าขวัญจิตมัทรีศรีบุญสม สหชาติภริยาน่าชื่นชม...................................................ภิรมย์นักรักเจ้าเทียมชีวา เพื่อเพ๊ญทานปรมัตถ์.......................................................จำตัดรักทั่งปวงคักห่วงหา จำใจทานเจ้าให้พราหมณา............................................สาธุธรรมนำเกิดประเสริฐคุณ บัดดลเกิดวิปริตแห่งอาเภท............................................ยามพระเวสส์เพ็ญทานที่เกื้อหนุน ภริยาเป้นทานยอดแห่งบุญ.............................................ฟ้ามืดมิดทั่วไปในจักรวาล ปฐพีหวั่นไหวกัมปนาท....................................................เฉลิมบาทบารมีศรีผสาน โพธิธรรมมรรคาพุทธญาณ.............................................มั่นคงปานรัตนามรรคาเพ็ญ ปกติทานบารมีกระทำแล้ว...............................................ดังลาดแก้วอุปทานที่ได้เห็น สุดยอดทานปรมัตถมิยากเย็น........................................พระทำเช่นปกติบริบูรณ์ พราหม์จำแลงแปลงกายคืนมา......................................เป็นอินทาเทวราชอวยพรพูน แปดประการพรเกิดเจิดจำรูญ.........................................อนุกูลแก่องค์พระทรงชัย หนึ่งทรงเป็นปิตุเรศเปี่ยมเมตตา.....................................กลับพารานิรโทษคนคุกไข โทษหนักเบารับล้วนควรอภัย..........................................ผ่อนปรนได้ทั่วถ้วนควรแก่การ พึงได้ทำอนุเคราะห์คนยากจน.........................................มิกังวลบทสตรีที่อาจหาญ บุตรธิดาอายุมั่นยืนนนาน................................................เจ็ดประการฝนแก้วพึงเกิดมี ตกในเขตแห่งเมืองเรืองรุ่งเลิศ.........................................ประเสริฐยิ่งชาวประชาเกษมศรี ร่ำรวยรัตนชาติทั่วบุรี........................................................สิ้นชีพนี้ขอกลับดุสิตวิทาน อมรินทร์อวยพรจงสมหมาย..............................................เคราะห์คลาคลายบุญประสาน อีกมีช้าคงจักได้พบพาน...................................................สงบศานติ์ด้วยแรงบุญบารมี เสร็จอำลากลับไปดาวดึงส์................................................พระเวสจึงไคร่ครวญธรรมวิถี ทุกสิ่งทำบำเพ็ญเป็นกรรมดี..............................................เป็นช่องชี้โพธิญานสานมรรคา ฯ ------------------------------------------------------ จบกัณฑ์ที่ ๑๐ สักบรรพ์ เริ่มกัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑฺ์มหาราช --------------------------------------------------------- กลอนแปด ..........ย้อนกล่าวถึงชูชกรัประทาน..................................สองกุมารจากพระเวสเชษฐบิดา มันสำแดงอำนาจเปล่งวาจา............................................แต่นี้ข้าเป็นนายจำให้ดี สองเจ้าเป็นทาสชั่วชีวี......................................................รับหน้าที่กิจการงานนานา ไปถึงบ้านจักมีนายผู้หญิง...............................................นายตัวจริงรูออยู่ที่เคหา ต่อนี้ไปเดินทางหลายเวลา..............................................ข้าจักพาไปบ้านด่านปลายดง สองกุมารขัดขืนฝืนตัวไว้.................................................สองร่ำไห้พ่อจ๋าอย่าลืมหลง ยังมิได้ลาแม่ไปไพรพง......................................................น้องยังคงหิมนมโปรดเมตตา เสียงลูกน้อยละห้อยได้จุกใมนอก....................................ชลนัยน์ตกห่วงใยเจ้านักหนา เพราะเพียรเพ็ญบารมีดอกลูกยา....................................จำต้องมาพลัดพรากจากกันไป พ่อพราหมณ์จ๋าค่อยจาอย่าดุด่า....................................สองกำพร้าเป็นทาสแล้วไฉน ต้องพึ่งพาตาพรหมณ์ยามห่างไกล.................................ขอจงได้เมตตาอย่าด่าตี มันเตรียมไว้แซ่หวายได้ลายหลัง......................................จงระวังเดินมาอยาหลบหนี ต่อหน้าพระบิดาข้าก็ตี......................................................หวดสองมีเดินมาช้าอยู่ใย มองบืดาผินพระพักตร์หันหลังให้....................................เจ็บปวดใจหกล้มหัวคะมำ ชกมันกระชากลากไม่หยุด..............................................เดนสะดุดยังตีสองขามขำ รอยแส้เป็นเส้นเส้นสีดำคล้ำ...........................................ห้อเลือดจำต้องเดินตามมันไป ตกกลางคืนสองกุมารมัดสองมือ...................................เอ็งอย่าดื้อดิ้นหลุดดูหนไหน มันป่าทึกเสือสางล้วนเป็นภัย.........................................หลับหนีได้เป็นเหยือพวกเสือมัน นอนอยู่ที่โคนไม้นี่แหลดี................................................บารมีข้าคุ้มได้พร้อมสรรพ์ ทั้งเสือสางภูติผีมนต์ข้ากัน............................................แค่ร่มไม้ตรงนี้อย่าหนีเลย ส่งเสริจมันปีนขึ้นบนต้นไม้............................................เลือกเหมาะได้ผูกเปลผ้านอนเฉย ผ่านคืนวันหลายวันก็เช่นเคย......................................โอ้เด็กเอ๋ยหอดหิวแทบเป็นลม มันมาหาอะไรให้เด็กบ้าง.................................................ดีแต่อ้างรีบไปน่าขื่นขม ฮุดกระชากจนต้องร้องระงม...........................................สุดระทมสองกุมารจากบ้านมา รุกขเทพสงสารเฝ้าติดตาม............................................ยามคำคืนเป็นคนเข้าไปหา ให้ดื่มนมกินเผือกกินมันพา..........................................กล่อมสองราหลับนอนด้วยอ่อนเพลีย หลายวันล่วงมาไกลในไพนสณฑ์..................................จนมาถึงทางแยกพราหม์หัวเสีย มันหลงลืมหนทางคงห่วงเมีย..........................................มึนงัวเงียขวาซ้ายไปไหนดี มันหลงทางกระชากลากสองน้อย..................................เดินตาลอยไปผิดอผกวิถี มินัมิรู้เป็นทางไปสีพี..........................................................เห็นชาลีเขาจำได้ไปกราบทูล ปู่สญชัยและย่าปรีดานัก.................................................ได้หลานรักกลับมาหาได้สูญ ถามชูชกรู้เรื่องโศกาดูร...................................................พ่อพราหมณ์พูนสวัสดิ์จรัสเจริญ ขอไถ่หลานตามคาดแกมาดไว้......................................เงินทองได้ร้อยตำลึงมิขาดเขิน ทั้งผ้าผ่อนแพรพรรณมิขากเดิน....................................ร้อยพับเชิญตรวจตรามากมวลมี ช้างกับม้าเพียงพอให้ใช้สอย..........................................อย่างละร้อยสัตว์เลี้ยงเอาเยี่ยงไหน วัวควายหมูสรรมาหาเป็ดไก่...........................................นับร้อยให้ไถ่หลานเรายินกี ชูชกบอกหิวมากอยากกินข้าว.....................................สญชัยเจ้านึกขำทำไมเล่า สั่งพ่อครัวจัดการอาหารเยี่ยม........................................เทียมทิพยฺโภชจัดมาอย่าดูเบา ปล่อยชูกชกสำราญอาหารเรา.....................................จัดใหเจาเต็มที่อย่างดีเลย สั่งเสร็จปู่ย่าพาหลันรัก....................................................เข้าที่พักเวียงวังฟังเปิดเผย เหตุไฉนชอบทานเหมือนดังเคย.....................................สองทรามเชยทำทานได้อย่างไร สองหลานน้อยเล่าเรื่องแล้วเคืองนัก..............................ลูกมักจักบ้าทานกันถึงไหน ช่างเถอะหลานตอนนี้อย่่าสนใจ.....................................เมืองเราไซร้ยินดีหลานคืนมา ให้สมโชรับขวัญสองหลานรัก........................................คนรู้จักชื่นชมพระนัดดา ครบสามวันสามคืนฉลองใหญ่.......................................จัดของกินเลือกได้มากมายหนา มีหมูเนื้อวัวควายแลปูปลา...............................................ผลผลามากมีเลี้ยงผู้คน สามวันผ่านรางวัลพราหม์ยังอยู่......................................มิมีผู้มารับชวนฉงน เขามาทูลชูชกเฒ่ากังวน.................................................กินเสียจนท้องแทบแตกจนวางวาย จนรุ่งสางดิบดิ้นสิ้นสังขาร์...............................................จึงรีบมากราบทูลเกรงเสียหาย ให้ประกาศทายาททั้งหญิงชาย.......................................ทรัพย์ทั้งหลายของชูชกมาเอาไป นับเวลาเจ็ดวันมาเอาเถิด.................................................เกิดมิมาจักเก็บอย่าสงสัย คืนเข้าคลังคราต่อไป........................................................ขอจงได้แสดงสิทธิ์ลูกหลานพราหมณ์ รั่งสั่งเจ็ดวันงานศพให้สมเกียรติ.....................................เจียดทรัพย์สินจัดงานการงดงาม เรียบร้อยกิจกระทำดำเนินตาม.....................................ทุกเขตคามชื่นชมพระทรงชัย สองชาลีกัณหาอยู่กับย่า................................................วิ่งหาปู่ตามประสาอายุขัย ปู่และย่าเพลิดเพะลินเจริญใจ..........................................ได้ทราบข่าวพระโอรสกำสรดครวญ นานแล้วหนาจากไปในไพรสณฑ์...................................เงืนไขคนโกรธเคืองก็กลับหวน ช้างปัจจนาคเขาคืนมาทั้งมวล.......................................พร้อมสินทรัพรางวัลมากมวลมี บ้านเมืองเขาฟื้นฟูอยู่เย็นแล้ว........................................นำช้างแก้วคืนมาแสนเปรมปรีด์ ชาวเมืองต่างสำนึกทำมิดี...............................................อยากไปที่เขาวงกฏขอโทษภัย พระบิดายินดีมีรับสั่ง.........................................................ตั้งกรมการเตรียมทัพจักเดินไป เชิญพระเวสมัทรีกลับเร็วไว..............................................เจ็ดวันให้เคลื่อนตรงเข้าพงพี ------------------------------------------------------------- จบกัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช และเริ่ม ๑๒. กัณฑ์ฉักขัตติ โดยขุนทอง ศรีประจง ------------------------------------------------------------- ได้เวลาจักเสด็จไปแดนดง..............................................เขาวงกฏเชิญพระเวสกลับธานี ทั้งสองหลานกัณหาพระชาลี...........................................ต่างยินดีนั่งรถกำหนดจร ขบวนธงนำริ้วให้นั่งม้า......................................................ควบอาชางดงามตามสลอน สี่สิบม้าสี่แถวครบสิบตอน................................................ธงปลิวว่อนงดงามตามกันไป ขบวนช้าวสิบเชือกขนาบข้าง.........................................เดินขอบทางเคียงราชรถไฉน ระวังมวลศัตรูราชภัย..........................................................มิยอมให้ทำร้ายพระราชา ต่อท้ายรถมหาดเล็กยกทั้งกอง........................................ถัดไปผองบริพารเหล่าเสนา ตามถัดด้วยทวยราษฏร์มาดไปเฝ้า...................................พระหน่อเจ้าองค์พระเวสพระเขษฐา หกสิบโยชน์ทางไกลในพนา..............................................ประมาณว่าแปดเดือนถึงพอดี จนล่วงเข้าขอบเขตเขาวงกฏ............................................ทรงกำหนดยับย้ังหว่างวิถี วันรุ่งขึ้นค่อยไปในคีรี..........................................................เจ้าชาลีบอกโน้นบรรณสาลา จากนี้ไปเกือบเที่ยงคงถึงได้...............................................ถึงมิไกลขบวนเราใหญ่เกินหนา ค่อยค่อยไปก็คงจักเชื่องช้า...............................................พระเจ้าตาอยากเห็นแม่มัทรี พระเจ้ากรุงสญชัยเข้าใจหลาน.........................................บอกมินานได้เพิ่มเฉลิมศรี ได้พบหน้ามารดาแน่ชาลี....................................................นั่งรถซีนั่งม้าอันตราย ฝ่าป่าพงดงดอนรอนแรมไป................................................ป่าดงใหญ่รุกขชาติดาดาดหลาย ขบวนม้าคนรถต่างกระจาย...............................................เลาะเลียบย้ายหาทางเยื้อย่างไป มัทรีตื่นตระหนกเสียงอื้ออึง.................................................มัวนึกถึงพายุหรือไฉน แลท้องฟ้ายังโปร่งโล่งกระไร................................................หามีไม่เมฆหมอกมาหลอกตา สักครูเสียงคนร้องเรียกแม่แม่..............................................ชะแง้มองจริงหรือคือกัณหา จนได้กอดแน่ใจโนลูกยา....................................................พ่อชาลีกอดด้วยร่ำโศกี ท่านปู่ยามาถึงได้ทักทาย....................................................พ่อบุตรชายพระเวสพิเศษหนี ต้องโทษขับจากบ้านจากบุรี..............................................เพราะพ่อนี้โง่เขลาเบาปัญญา ต่างรำพึงรำพันจนรันทด.....................................................โสกสลดเศร้าสร้อยน้อยหรือหนา สลบไสลใจวับดังดับคา.........................................................ล้มพับมาระเนระนาดประหลาดใจ ฝ่ายไพร่คนพลเมืองรู้เรื่องเห็น............................................สงสารเป็นเรื่องเร้าเศร้าไฉน ต่างร่ำร้องสงสารพระภูวนัย................................................สลบไปทั้งหมดกำลังพล ร้อนถึงองค์อมรินทร์ปิ่นสวรรค์..........................................วันนี้ใยบัลลังยังสับสน บัดเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเป็นกังวล.........................................ฤๅมีคนเดือดร้อนร้อนถึงเรา จังสอดส่องเรดาทิพยเนตร..................................................ตาวิเศษส่องทั่วทุกป่าเขา ส่องไปโลกมักมีพวกผู้เยาว์..................................................พวกขาดเขลาต้องช่วยเป็นประจำ อ้อเจอแล้วอาศรมพระยาเวส...............................................มันเกิดเหตุล้มตายแต่น่าขำ แค่ดีใจพบหน้ากันเกิดกรรม...............................................ดีใช้ซ้ำสลบไสลขาดใจตาย แม้นมิช่วยม้วยแน่สมน้ำหน้า..............................................มิเข้าท่าเป็นเทพจักเสียหาย เขาจะหมิ่นอินทร์อะไรเจอเรื่องร้าย.....................................มิช่วยคลายปัดเป่าก็เข้าใจ จะตักน้ำสาดใส่คนละขัน.......................................................คงมิทันตายแน่ทำไฉน มนต์เสกเป่าฝนทิพย์ตกลงไป..............................................ใช้ฝนโบกขรณีแหละสมควร เป่าพรวดเดียวฝนมาเป็นห่าใหญ่......................................สหัสสนัยน์เก่งมากอยากให้หวน ไปทางบ้านเราบ้างอยากจะชวน.........................................เป่าสักม้วนมนตราให้ฝนลง ฝนพิเศษอินทาโปรยมาให้..................................................จำชื่อได้ฝนโบกขรคง เม็ดสีแดงหล่นลงเป็นเม็ดเม็ด..............................................เด็ดใบไม้มารองพิศวง มันมิเปียกกลิ้งไปจนหล่นลง.................................................สำคัญตรงมิเปียกเพียงชุ่มเย็น ใครอยากเปียกย่อมได้มันไหลอาบ.....................................กำซาบซ่านสดใสได้มาเห็น ฝนประหลาดหล่นใส่คนได้เป็น............................................กลับฟื้นเช่นสุขสมสถาพร จนต้องมีบันทึกจารึกไว้........................................................ฝนยิ่งใหญ่หนึ่งครั้งครานี้หนอ คราวพระเจ้าสญชัยไปคอยรอ..............................................ชวนพระหน่อบุตรชายให้กลับเมือง เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญกังวาลนัก..........................................แผ่นดินมักสะเทือนเลือนลั่นเคือง ไยเงียบเสียงเสียเล่ามาเข้าเรื่อง.............................................ดินกระเดื่องพสุธาสั่นทั่วไป คงเริ่มได้แม่พระธรณี...............................................................อวยฤทธีโลกสั่นมิสงสัย ฉะนี้ไซร้ฟ้าดินกระเทือนไกล.................................................ครั้งที่ได้เชิญพระเวสกลับพารา พนักงานกราทูลความแต่เค้า...............................................ตามพระเจ้าสญชัยปรารถนา อัญเชิญพ่อพรเวสกลับเมืองมา............................................เป็นราชาสีพีจึงเหมาะควร พระบิดามารดาไม่ว่าแล้ว.......................................................ทานช้างแก้วตัวหนึ่งซึ่งพอหวน มันโง่เขลาเกินไปใยมาชวน...................................................ป่วนให้เราขับลูกจากพารา ชาวกลึงนำช้างมาคืนแล้ว.....................................................บ้านเมืองแผ้วสร่างทุกข์สุกหรรษา มีแก้วแหวนแพรพรรณเป็นบรรณา.......................................เขานำมาบอกนบจบสักการ มัทรีน้อมภูษามาถวาย..............................................................จงคลาคลายลาสึกขอไขขาน หากมิสึกอาจเจอภัยคนพาล.................................................ปลุกปล้ำท่านนักบวชให้ปวดใจ นางแค่คิดในใจเท่านั้นดอก...................................................เราเอ่ยออกพระเวสมิสงสัย ยินยอมลาสิกขา ณ ทันใด...................................................กอดเอาไว้แม่ลูกล้วนผูกพัน กระบวนทัพพักผ่อนหลายเพลา............................................ค่อยกลับมาสีพีมีสุขสันต์ เถลิงราชสมบัติอีกครั้งพลัน....................................................ฉลองกันด้วยปิติพระทรงชัย นับเจ็ดวันเจ็นคืนล้วนชื่นสุข..................................................พระปัดทุกข์ทวยราษฎร์ทุกสมัย อุดมด้วยฟ้าฝนชุ่มชลไป..........................................................ชาวบ้านได้ทำเกษตรจำรูญจำเริญ ---------------------------------------------------------- จบกัณฑ์ที่ ๑๒ และเริ่มกัณฑ์ที่ ๑๓ กัณฑ์นคร ----------------------------------------------------------- ความโดยย่อ เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษีได้สดับคำพระราชดำรัสเชื้อเชิญให้ลาผนวชออกไปครองราชย์สมบัติ ก็รับสั่งทูลพ้อพระราชบิดา ประวิงการรับอาราธนาไว้พลางก่อนว่าเมื่อกระหม่อมฉันปฎิบัติราชกรณียกิจโดย ทศพิธราชธรรม ไฉนพระราชบิดาจึงลงโทษเนรเทศจากพระนคร มารับความทุกข์ยากแค้นแสนสาหัสในพงไพร ไม่สมควรเลยพระเจ้าข้า? กลอนแปด .........สมเด็จเจ้าสญชัยมหาราช.......................................ประกาศจักมุ่งไปในเขาเขิน ไปพบพักตรลูกยาว่าจักเชิญ............................................ชวนดำเนินเป็นอัครราชา เป็นมหาจักรพรรดิราชเจ้า.................................................เสด็จเข้ากรุงศรีเถิดลูกยา ทรงดำรัสตอบึพระบิดา.......................................................ข้าพระบาทยังงุนงงก่อนทำคุณ ดำรงในทศพิธราชธรรม.....................................................นำบ้านเมืองเรืองรุ่งมุ่งเพ็ญบุญ กลับเกิดโทษเป็นภัยไล่รุกรุน..............................................คนเคืองขั่นขับไสไล่จากเมือง บัดนี้กลับมาชวนกลับปีอีก.................................................จะหลบหลีกบาปกรรมที่ขุ้นเคือง กลัวจักมาฟ้องร้องจักเอาเรื่อง............................................เกรงจักเปลืองคุณธรรมยากนำพา ของพระคุณพระบิดาเมตตานัก..........................................ลูกก็รักสองพระองค์มากนักหนา ยังคำนึงถึงพระคุณอุ่นเมตตา..............................................กลับพารายังมิคิดโปรดทุเลา สญชัยเจ้ากรุงไกรได่สดับ....................................................พ่อยอมรับทำการอันขาดเขลา เพียงเพ็ญทานเป็นบุญคุณของเจ้า...................................มิควรเอาเป้นโทษเพราะเป็นบุญ เป็นเพราะฟังคำสอพลอพวกคนพาล................................มันกล่าวขานเป็นโทษจนเคืองขุ่น ขับเจ้าออกจาเมืองเรื่องทารุณ............................................บาปกระตุ้นรุมเร้าร้อนรุกรน อยู่บ้านเมืองเคืองขุ่นมิอุ้นอก...............................................ยากจักยกบาปกรรมทำสับสน ไฉนพ่อใจร้ายเกินผู้คน.........................................................ลูกของตนผลักไสไม่ปราณี พ่อทำผิดคิดได้ก็สายแล้ว....................................................ขอลูกแก้วคาดโทษมิหลบหลี้ ยิมรับหมดลูกยาพ่อยินดี.....................................................กลับสีพีเถิดหนาช้าอยู่ใย พระอม่เจ้าผุสดีวอนลูกรัก....................................................ยามนี้จักพึ่งเจ้าแล้วไฉน มีลูกเต้าเฒ่ามามองหาใคร.................................................มาจอมใจกลับบ้านเวสสันดร ทั้งกัณหาลีก็กลับแล้ว...........................................................สองลูกแก้วมัทรีศรีสมร อยู่ป่าดงลำบากนักบังอร....................................................กลับนครครองเมืองรุ่งเรืองรมย์ มิต้องหาเผือกมันผลไม้........................................................เพียงอยากได้คนหามาเสร็จสม ประกอบเป็นอาหารหวานคาวจม.....................................มาแม่ชมคิดถึงเจ้าซึ้งใจ พระนางสอดสะใภ้ร่ำไห้หนัก...............................................อกแทบหักเศร้าสร้อยหนักไฉน พลับสลบดังหลับคอพับไป.................................................สององค์ได้กอมกันพลอยล้มลง สี่กษัตริย์อัดอั้นตันดวงจิต.................................................พอได้พิศสองพระนางพิศวง นึกว่าทิวคีพปลดปลง..........................................................ทุกพระองค์โสกาแทบวายปราณ จนหมดแรงสลบสไลไปทั้งสิ้น................................................ทุกผู้ยินยลกันพลันไขขาน ต่าร่ำร้องโศกาใจแหลกราน.................................................สลบเต็นลานล้วนพวกไพร่พล ร้อนถึงท่านอินทาเทวราช ...................................................เกิดอุบาทอันใดอีกฉงน ส่อง้รดาทืพยเนตรท่วสากล.................................................พบผู้คนสลบไสลชาวะารา บริเซณอาศรมพระยาเวส......................................................จู้แจ้งเหตุอีกแล้วจริงสิหน้า ต้องฝนโบกขรพัสตร์กันอีกครา..........................................เสกมนตราโปรยโบกขรณี ชึ่มพื้นพสุธานานาสัตว์.........................................................ตื่นสลัดมึนงงหลงวิถี เป็นออะไรมาหลับกลางพงพี................................................ก็พอดีเห็นพระเวสนมัสการ สนทนพาทีถามสุขทุกข์........................................................ปลุกปลอบใจคลายเศร้าเข้าผสาน ขออภัยเรื่องราวแต่ก่อนกาล.................................................เกษมศานต์สวบสันต์สถาพร สญชัยเจ้าจัดการอภิเษก.......................................................ให้เป็นนเอกอัครราชเวสสันดร ครองสีพรกรุงไกรผ่านนคร.....................................................ประชากรแซ่ซ้องพระบารมี ครบสามวันยกขบวนชวนกันกลับ.........................................ยาตราทัพยิ่งใหมญ่ในวิถี มหาราชเวสสันดรกลับบุรั.......................................................เถลิงศรีราชสมบัติวิวัฒนา พระมัทรีศรีสมรราชินี.................................................................ชาวบุรีชื่นชมแลหรรษา ถวายพรทุกวันสุขสันต์มา.........................................................อีกชาลีกัฒนาสุขารมย์ พระปกเกล้าอาณาประชาสุข..................................................นิรทุกข์ผ่องแผ้วสงบสม บารมีแผ่ไกนไทนิยม..................................................................ล้วนชื่นชมจักรพรรดิเวสันดร เป็นกษัตริ์ย์ทรงคุณอันประเสริฐ.............................................นับเป็นเลิศทศพิธราษฎร์ทุกถอน แผ่นดินรุ่งวัฒนาสถาวร..........................................................ประชากรน้อบนบจบพระบาท พระบารมีทศพิราชธรรม...........................................................นำให้เกิดพายุฝนรัตนชาติ ตกทั่วเมืองสีพีเชิญทวยราษฎร์.................................................ใครสามารถเก็บได้ให้พอดี เมื่อเหลือแล้วเก็บเข้าพระคลังไว้................................................อาจต้องใช้วันหน้าแท้ดีหลี ประชาช่วยเก็บกวาดส่งคลังมี...................................................ล้วนปรีดาบ้านเมืองรุ่งเรืองเกิน จบบริบูรณ์ เมื่อพระเวสสันดรเสด็จขึ้นปราสาทแล้วรับสั่งประกาศให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขังไว้ให้หมด ครั้นเวลาราตรีก็ทรงรำพึงว่า พรุ่งนี้ประชาชีต่างก็จะแตกตื่นกันมาคอยรับพระราชทานแล้วจะได้สิ่งใด แจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นทันใดนั้นท้าวโกสีย์ทรงทราบความปริวิตกของพระเวสสันดรแล้ว ก็ทรงบันดาลฝนแก้ว ๗ ประการให้ตกลงในพระนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง เฉพาะในพระราชวังท่วมถึงเอวพระ เวสสันดรทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอาไปตามปรารถนาเหลือนั้นก็ให้ขนเข้าท้องพระคลังหลวง

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ทักกันวันปลายปี กาพย์ยานี ๑๑ o สองแปดธันวาคม……………….....กาลนิยมปลายปีหนอ หกสามมิรั้งรอ.....................จะจากไปอีกไม่นาน o อยู่กันสิบสองเดือน............เป็นดุจเพื่อนทุกสถาน ให้ใช้ระบบกาล....................วันเวลาชั่วโมงยาม o แจกให้ใช้กันทั่ว................มิต้องกลัวมิเคยถาม ทุกเพศทุกวัยตาม................แจกให้ใช้ทุกนาที o หกสิบหนึ่งชั่งโมง….............มิเคยโกงตามวิถี หนึ่งวันนับสองสี่....................มืดสิบสองยามค่ำคืน o สว่างยามกลางวัน..............จัดสรรให้ได้ยามตื่น กิจการงามราบรื่น.................มองเห็นได้สบายดี o เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่…...........เวลาใช้ตามวิถี เท่าเทียมเวลามี...................เสมอหน้ากันทุกคน o หกสิบวินาที......................หนึ่งหน่วยมีมิสับสน นาทีหนึ่งเวียนวน..................ครบหกสิบหน่วยนาที o เรียกขานเป็นชั่วโมง……......ยังเชื่อมโยงไปถึงวัน สองสี่ชั่วโมงผ่าน...................กาลค่ำคืนก็แปรผัน o สิบสองชั่วโมงนั้น..............จนรุ่งสางเปลี่ยนข้างมา กลางวันก็สิบสอง..................ตามครรลองแบบนี้หนา o ชัดเจนวันเวลา.................จัดสรรให้ทั่วหน้ากัน เชิญใช้กาลเวลา..................ให้มีค่าควรเสกสรรค์ o มากน้อยแค่ไหนนั้น...........แบบค่าแรงจักชัดเจน สามร้อยบาทขั้นต่ำ...............มีงานทำจึงจักเห็น o เขาจ้างงานยากเย็น………......จึงจักได้เป็นค่าแรง บางคนได้สี่ร้อย....................มีไม่น้อยที่แสวง o ได้มากเขาแสดง..............วันละพันก็ยังมี เวลาในหนึ่งวัน.....................ยาวเท่ากันตามวิถี o นับดูยี่สิบสี่........................หน่วยชั่วโมงยาวเท่ากัน ค่าแรงกลับแตกต่าง..............เหตุหลายอย่างทำแปรผัน o ตรวจดูคงรู้นั่น...................อะไรบ้างเป็นปัจจัย หนึงวัยก็สำคัญ.....................ความขยันแลอดทน o ฉลาดและรู้งาน.................เพราะชำนาญมิสับสน ทำได้หลายเล่ห์กล................งานสำเร็จผลดีงาม o รู้จักพัฒนา........................ทำการมามิเข็ดขาม เก่งขึ้นรู้ติดตาม...................รู้แก้ไขการเจริญ o ยิ่งนานยิ่งมีค่า...................พัฒนาควรสรรเสริญ แบบนี้ดีเหลือเกิน..................สร้างตนดีมีราคา o ค่าคนดูผลงาน..................เมื่อชำนาญมิกังขา เท่ากันวันเวลา.....................ทำการเก่งเปล่งประกาย o ประเมินดูคุณค่า................ตอบได้ว่าเก่งเหลือหลาย คุณค่าจึงมากมาย.................ประเมินได้ย่อมชัดเจน o ก่อนอืนประเมินตน............มิกังวลจักได้เห็น เรามีและเราเป็น..................คนแบบไหนเลวหรือดี o หลายอย่างข้อนค่างแย่.......รีบแก้ไขถูกวิถี ปล่อยไว้เป็นราคี...................อาจมัวหมองต้องเจ๊บใจ o ตัวอย่างมักเกียจคร้าน.......งานหนักเบายากทำไหว อยากเลี่ยงมันร่ำไป...............จักลำบากเมื่อเติบโต o หรืออย่างชอบเที่ยวเตร่......เล่นเฮฮาน่าโมโห การงานกลับพาโล................มิอยากทำลำบากมือ o นานเข้าก็จับจด................เพื่อนผองงดมินับถือ ปละปล่อยกลัวเสียชื่อ............มิคบค้าสมาคม o สรุปเรื่องคุณค่า................ราคาดีที่เหมาะสม หรือด้อยมิน่าชม..................อยู่ที่ตัวของเราเอง o ทุกวันทุกเวลา..................จงสร้างค่ามิต้องเกรง กรรมดีพึงทำเพรง...............ทำมากไว้ได้ราคา o กรรมชั่วพึงละเว้น.............ขืนทำเป็นด้อยเลยหนา ชั่วดีเหมือนตีตรา.................ติดเต็มตัวขาวกับดำ o ติดชั่วจักมัวหมอง.............คนเขามองยังนึกขำ ดีงามกิจกรรม.....................ทำให้ค่าน่าชื่นชม o ศีลห้าห้ามเอาไว้...............เรื่องไม่ดีมิเหมาะสม บาปกรรมทำให้ตรม.............คนรังเกียจน่ารำคาญ o กรรมดีสบายใจ................ทำมากไว้ช่วยอาจหาญ ใครใครก็ต้องการ................คนทำดีมีราคา o คำสอนพุทธองค์...............ทรงวางรากศาสนา บาปกรรมชั่วนานา...............อย่ากระทำมันไม่ดี o กุศลสั่งสมไว้....................แล้วจักได้ก่อเกิดศรี จิตใจไร้ธุลี..........................ชะสะอาดผุดผ่องมวล o สัพพปาปัสสะ...................อกรณังมิหวน กุสลสัมปชวน.......................สะสมไว้ให้มากมี o สัพพจิตของเรา................จักหมองเศร้าเพราะราคี ชำระด้วยศีลดี.....................กายหมดจดใจงดงาม o คุณค่าจักสูงได้.................ใช้ศีลธรรมประพฤติตาม สูงส่งยิ่งทุกยาม...................เพราะความดีนี้นั่นแล ฯ ขุนทอง ประพันธ์

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

อัตชีวประวัติความเรียง ตอนที่ ๑-๒

อัตชีวประวัติ ความเรียง ........เดิมโพสเป็นตอน ๆ ปรากฏหาไม่ค่อยเจอ เลยจับมาต่อกันซะเลย ทำให้เรื่องมันยาว แต่ดีตรงหาง่าย ขออภัยหากใครอ่านไม่ไหว --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตอนที่ ๑ ชีวิตในช่วงปฐมวัย 1-17 ปี ...........บ้านแก ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ แค่เริ่มประโยคแรกก็มีปัญหาแล้ว ทำไมชื่อบ้านแก ชื่อบ้านฉัน ไม่ดีกว่าเหรอ ตำบลกมลาไสยนี่มันแปลว่าอะไร อ้าวจังหวัดกาฬสินธุ์อีก ภูมิลำเนาของคุณนี่มีแต่ต้องแปล มีแต่ ต้องถาม มิน่าคุณ ถึงเป็นคนที่ปัญหามาก มันมาจากบ้านเกิดคุณนี่เอง ความจริงผมไม่เคยสงสัยหรอก แต่เพื่อนเรียนสมัย อยู่มัธยม มันซักก็เลยได้คิด แหมมันน่าสงสัยจริง ๆ ยิ่งวันสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน ม.4 เจอครูภาษาไทยแกถามชื่อเธอ ขุนทอง ศรีประจง มันแปลว่าอะไร จะบ้า ตายมันตอบไม่ได้น่ะซี ........ขุนนี่แปลว่า เลี้ยง แบบขุนหมู ไง ทองก็ทองคำนั่นแหละ แต่พอเข้าคู่กัน ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงทองคำนะเออ แต่แปลว่า คนที่สะสม สิ่งที่ดีงามแบบทองคำนั่นแหละ ก็คือสะสมความดีงามไว้มาก ๆนั่นเอง เฮ้อ โล่งไป ศรี ก็คือศิริมงคล ประจงก็คือ บรรจง เพียรแต่งมงคล ให้ดีงาม โหกว่าจะได้ความหมาย พ่อแกทำไมตั้งชื่อนามสกุลลึกลับขนาดนี้ แปลได้ก็สบายใจนะ แต่นั้น มาไม่มีใครถามอีกเลย ไม่ คุ้มเลยกว่าจะหาคำแปลได้ ...........บ้านแกล่ะ ถามผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว หมู่บ้านเราตามทุ่งนามีต้นสะแก เยอะมาก มองไปทางไหนเป็นดงเลย จึงตั้งชื่อว่า บ้านดงแก บ้านต้นแก ที่สุดก็เป็น บ้านแก ต้นแกนี่ที่นากระผมก็เยอะนะ มีทั้งเป็นพุ่มไม้เตี้ย ๆ กบเขียดชอบโดดไปหลบให้ พวกเราไปไล่จับกัน สนุกมาก มีต้นขนาดใหญ่มดแดงชอบไปทำรัง เวลาพี่ชายทำก้อยปลา เขาจะถือชามไปต้นสะแก เด็ดรัง มดแดงมาเคาะ ๆ ใส่เนื้อ ปลากระดี่ที่สับละเอียด ได้มดแดงพอจะออกสีขาว ๆ ค่อยไปทำต่อจนได้ก้อยปลากระเดิด ก็ปลา กระดี่นั่นแหละ แต่เราเรียกปลา กระเดิด หน้าแล้งต้นสะแกใหญ่ รังมดแดงก็รังใหญ่ ไข่เต็มรัง แม่กับพี่สาวชวนกันไปแหย่ เอาไข่มดแดงมาทำกับข้าว เคยสังเกต เหมือนกัน รังเดิมนั่นแหละ แหย่แล้วแหย่อีก สรุปว่าบ้านแก ได้ชื่อมาจากต้นแก ไม่ใช่บ้านแกบ้านฉันหรอก ..........ตำบลกมลาไสย (กมมะลาสัย) ไปหาคำแปลมาจนได้แหละ กมลา กับ อาไสย กมลา กมล ก็ดอกบัวไง หรือจะแปลว่า หัวใจ ยังได้นะ แต่อย่าเลย เวลาผสมกับอีกคำจะแปลยาก อาไสย ก็คือแหล่ง ที่อยู่ ผสมกันก็หมายถึง แหล่งที่มีดอกบัวอยู่ นั่นเอง คือ มีบึง ห้วย หนอง ที่มีดอกบัว อันนี้ไม่ทราบว่าหมายถึงหนองไหน ในพื้นที่อำเภอนี้มีบึงหลายแห่ง ก็คงหมายถึงหนอง บึงที่อยู่ใกล้ ตัวอำเภอนั่นแหละ เขาตั้งชื่อตำบลกมลาไสยตามชื่อหนองบึงที่มีดอกบัวเยอะ ๆนั่นเอง พอพัฒนาเป็นอำเภอ ก็ ไม่เปลี่ยน นะ ยัง ใช้ชื่อเดิมอยู่ เลยสบายไป ไม่ต้องไปหาคำแปลอีก ..........จังหวัดกาฬสินธุ์ โหทำไมชื่อมันแปลยากอย่างนี้ ดีนะที่เป็นผม คนขยันหาคำแปล ไปค้นมาจน ได้แหละ ค้นจากไหน ก็ พจนานุกรมไง กาฬ สินธุ กาฬ แปลว่าดำ สีดำ สินธุ ก็แปลว่าแม่น้ำ ชื่อไม่โก้ เลย จังหวัดแม่น้ำดำ แต่มันหมายถึงแม่น้ำปาว สายเอกของจังหวัดนี้นั่นเอง ที่เขาเรียกแม่น้ำดำเพราะ น้ำลึก ปลาชุม ยิ่งตอนสร้างเขื่อนลำปาวนี่ทำให้ลุ่มน้ำปาวเป็นพื้นที่เกษตร ที่ดีมาก ๆของจังหวัดนี้ทีเดียว บ้านแก กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ...........รู้จักภูมิลำเนาแล้ว เกิดได้ยัง แหมมันไม่ได้ง่ายนักหรอก คนสำคัญจะเกิดมันต้องมีอะไรซักอย่างที่ชวนให้อยากเกิด บ้างซี คุณพ่อชื่อนายจำปา ศรีประจง เป็นคนบ้านแกนี่แหละ มีภรรยาชื่อนางจ้อน ศรีประจง คนบ้านเดียวกัน แถมคุ้มเดียว กันซะด้วย ก่อนจะแต่งงานกันอันนี้ไม่ทราบ เกิดไม่ทัน เพราะตอนผมเกิด พ่อแม่มีลูกครึ่งโหลแล้ว น.ส.หมา น.ส.พุด น.ส.สี น.ส.ทุม น.ส.จัน.... (เสียชีวิต ปีผมเกิด) นายบัวทอง แล้วก็ผม คนที่เจ็ด เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น ปี พ.ศ. 2487 ยังอยู่ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ สอง ปีถัดมาญี่ปุ่นถึงโดนระเบิดปรมาณู เรียกว่าสงครามยังไม่สงบ แถมเกิดโรคระบาดคือ ฝีดาษ ไม่มียา ตายเป็นเบือ คนป่วยจะ เป็นแผลพุพองเหมือนถูกไฟลวก คนที่หายเป็นแผลเป็นเต็มหน้าเต็มตัว แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด บ้านเรา โดนเข้าไปสองคนคือ พี่จัน กับ พี่บัวทอง เราเสียพี่จันไป พี่บัวทองรอด ใบหน้ามีแผลเป็นติดมา แม่เล่าว่ามันลำบากมาก ไหนจะ กลัวเขารบกัน ไหนจะรบกับ โรคภัย แม่ท้องเจ็ดเดือนแกก็คลอดก่อนกำหนดซะนี่ หนังท้องบางมากขนาดเห็นลำใส้เป็นขด ๆ เลยมึง ตัวเล็กมากนึกว่าเป็นลูก หลอด แต่มึงหายใจอยู่ กระดูกตรงร่องอกยังไม่ติดกันเลย ทุกคนทำใจไว้แล้วว่าถ้ามึงเจอ ฝีดาดอีกคน ตายก่อนแน่ วันที่ 1 มิถุนายน 2487 นั่นแหละวันเกิดละ เดชะบุญนะ โรคฝีดาษเริ่มถอย เบาบางลงและสงบไป จนได้ พร้อมกับสงครามโลกครั้งที่สองก็สงบลงใน อีก 2 ปีถัดมา ไม่อยากโม้ว่าเป็นเพราะเราเกิดมาโรคภัยก็เลยถอยไป แทรกรายชื่อญาติพี่น้องร่วมบิดามารดา 1. นางหมา ภูมิขันธ์ แต่งกับ นายบุญ ภูมิขันธ์ 2. นางพุด ศรีประจง แต่งกับ นายเพ็ง 3. นางสีดา ศรีประจง แต่งกับนายเคน ศรีชาติ 4. นางทุม ศรีประจง แต่งกับนายมี หอมจันทร์ 5. นางสาวจันทร์ ศรีประจง (เสียชีวิต แต่ยังเยาว์) 6. นายบัวทอง ศรีประจง แต่กับนางค้ำ ศรีประจง 7. นายขุนทอง ศรีประจง แต่งกับนางกาญจนา ศรีประจง (ถึงแก่กรรม) ......แต่งกับ น.ส.ธนัญธร ณรงค์หนู) .........ผมเป็นลูกที่กินนมแม่ 3 คน หลังผมเกิด ปีวอก 2487 ปีถัดมา พี่สาวคนที่สองก็คลอด ด.ญ.สุวรรณทา ปี 2488 คนนี้ปีระกา ถัดมาอีกปี พี่สาวคนโต คลอด ด.ญ.ทองมา ภูมิขันธ์ คนนี้ปี 2489 ตรงกับปีจอ ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งคู่ เลยมีเด็ก อ่อนสามคน เลี้ยงกันมั่วไปหมด เพราะเหตุการณ์โรคระบาด แม่ไม่ว่าง ดูคนเจ็บสองคน พี่สาวเลยเป็นผู้ช่วยโดยปริยาย มิน่า สองคนนี้ถึงรักผม มาก ผมก็คิดถึงเขานะ ไปเยี่ยมบ่อย เอาของไปให้ เอาเงินใสมือให้ใช้ เพราะเขามีพระคุณเหมือนแม่เรา คนหนึ่งเลยแหละ วันนี้ที่เขียน ชีวประวัตินี่ พี่คนโตแกเสียชีวิตไปแล้ว ก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่พี่แกเกิดก่อน อายุมากกว่าคนอื่นถือว่าไปในเวลาอายุมากแล้ว ..........พี่ทุม พี่บัวทอง สองฮีโร่ของผม สองคนนี่อายุห่างผมไม่มาก พี่ทุม 7 ปี พี่บัวทอง 4 ปี ตอนผมอายุ 5 ขวบสองคนนี่บอกผมว่า แกใกล้จะเข้าเรียนแล้วนะ มาจะสอนหนังสือให้ พี่ทุมแกจบ ป.4 มาสามปีแล้ว ส่วนพี่บัวทองอยู่ ป. 4 เขาจับเราสอนให้เขียน ก - ฮ ลข 1 - 0 หัดเขียนหัดอ่าน ความจริงพี่เขาเล่นเป็นครู หานักเรียนไม่ได้เลยจับน้องมาเรียนหนังสือ อุปกรณ์อย่างดีนะ กระดานชะนวน แบบหน้ากระจกลื่น ๆ ปากกาแบบหินปูนเส้นใหญ่ แบบหินชะนวนเส้นเล็ก มีหมดแหละ นักเรียนชอบเรียนด้วยครูเลยสอนเก่ง แป๊บ เดียวเขียนได้อ่านได้ แล้วก็เกิดเรื่องสำคัญขึ้น วันหนึ่งครูบุญชู ครูโรงเรียนบ้านแกนั่น แหละแกเป็นเพื่อนพ่อ ตอนนี้พ่อไปเป็นผู้ช้วย ผู้ใหญ่บ้าน มีเหล้าขาวขายที่บ้านด้วย ครูแกเลยแวะมาเยี่ยมเรื่อย พ่อก็เลี้ยง เหล้าแกบ่อย ขากลับแกก็ซื้อพกกลับไปบ้าน หลายวัน ก็มาอีก บังเอิญวันที่แกมาพบ ครูทุม ครูบัวทอง สอนหนังสือนักเรียนเข้า เห็นนักเรียนเขียนอ่านได้ยังกะพวกเข้าเรียนป.1 แล้ว เลย ขอให้พ่อนำไปฝากเรียนชั้นเตรียม เห็นไหมผมเรียนเตรียมตั้งแต่ ห้าขวบเอง ป.เตรียมน่ะ ไม่ใช่เตรียมอุดมศึกษาหรอก พี่สองคนนี่ แหละ มีส่วนทำให้ผมเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุดในโรงเรียน ผมถึงเรียกสองคนนี้ว่าฮีโร่ของผม ไม่ผิดหรอก ..........วัยเรียนวัยเล่น ผมอายุ 5 ขวบเข้าเรียนชั้น ป. 1 ก่อนเกณฑ์ 1 ปี พี่คนถัดจากผม 10 ขวบ แกอยู่ ป.4 พี่ทุมก็เป็นสาว คน ทำงานในบ้านมีเยอะแยะ ผมก็เป็นเด็กที่ไม่มีใครอยากใช้ ตัวเล็กไป เลยถูกปล่อยให้เล่นหัวบ้านท้ายบ้านรู้จักหมด ลูกชาย ผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้าน นิสัยดีไม่เกเร เพื่อน ๆก็ยินดีให้เล่นด้วย เลิกเรียนกลับมาถึงบ้านโยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วใส่กางเกงหูรูด เสื้อไม่ต้องวิ่ง ปรู๊ดหาเพื่อนเล่นที่ลานวัด บางทีติดพันจนทุ่มสองทุ่มแม่มาตามเลยกลายเป็นเด็กที่รู้จักการเล่นค่อนข้างมาก หมากหนอน หัว ะโหลก วิ่งเปี้ยว ลิงชิงหลัก โค้งตีนเกวียน รีรีข้าวสาร งูกิน หาง ไม้หิงอี่ วิ่งขาโถกเถก เป่ายาง ยิงยาง โยนหมากแต้ หมากข่า ลูกข่าง ม้าหลังโปก มอญซ่อนผ้า เตะบอล ตีคลี ฯลฯ รู้ละเอียดด้วยนะ สมัยไปเรียนปริญญาตรี ที่ มศว. มหาสารคาม เขามีคอร์ส วรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน ได้เกรด A บวก รับประกันได้ว่ารู้จักจริง การละเล่นเด็ก ……………ด้านการเรียน ระดับประถมก่อนแล้วกัน เพราะวีรกรรมการเรียนของผมมันมีทุกระดับ มกราคม-มีนาคม 2494 ช่วง นี้ เทอมปลายปีการศึกษา 2493 พ่อนำผมไปฝากเรียน ป.เตรียม เพื่อต้นปีการศึกษา 2494 จะได้เข้าเรียน ป. 1 ได้เลย เพราะมีครู สอนพิเศษให้ที่บ้าน วันแรกก็ดังเป็นพลุระเบิด อ่านหนังสือบนกระดานที่ครูบุญชูแกเขียนสอนเด็กใหม่ อ่านได้หมด จนครูให้นำ อ่านหน้าชั้นเรียน เวลาครูไม่อยู่ มีหน้าที่พาเพื่ออ่าน จนกว่าครูจะมา เลยกลายเป็นเด็กรักการเรียนหนังสือตั้งแต่นั้น มา สอบได้ที่ 1 ปีละ 3 ครั้ง เพราะระบบ 3 เทอม ปีจบ ป.4 คะแนนสูงสุดในอำเภอกมลาไสย มีสิทธิ์รับทุนเรียนต่อระดับมัธยม 6 ปี ตัวประโยค เขาใช้ข้อสอบกลางของจังหวัด คะแนนเลยเอาไปเทียบกันได้ .......ด้านการเล่น ยังเป็นเด็กที่มีเพื่อนเล่นทั่วทุกคุ้มบ้านเหมือนเดิม ทางบ้านก็ปล่อย ไม่ใช้งานอะไร หาบน้ำก็ไม่เก่ง ตำข้าว ก็ ตื่นไม่ทันเขา ได้งานอย่างเดียวคือหาหลัวไม้ไผ่มาให้พี่สาวลงข่วงเข็นฝ้าย กอไผ่อยู่หน้าบ้านเอง ไปช่วยเขาหอบมากองไว้ แล้ว ก็รีบไปเล่น การเล่นพัฒนาไปมากจากการเล่นสนุก ๆ ไปเป็นการเล่นแบบไล่ล่า หัดทำอุปกรณ์หน้าไม้ พลุหรือไม้ซาง หาล่ากบ เขียด ยิงนกตกปลา มีรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเป็นหัวหน้า ได้เรียนรู้ วิธีวางเบ็ดปลา วางเบ็ดกบ วิธียิงนกกินหมากไม้ วิธี ดักหนูนา รู้สึกตื่นเต้นกว่าเล่นที่ลานวัด ก็คงบอกได้ว่า เก่งทั้งเรียนหนังสือ และเก่งการเล่น ไม่เก่งอย่างเดียวคือช่วยงานบ้าน ลูกคนเล็ก ใคร ๆ ก็รัก ไม่อยากใช้งาน ก็เป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน รูปถ่าย พี่สาว พุด ป้าบุญ พี่ชายบัวทอง ศรีประจง แถวล่างล่างพี่สาว ทุม ลูกสาวสาวิตรี ป้าพุด เหลนระเบียบ บ้านหนองลุมพุก หนองบัวลำภู ........ปี 2498 จุดเปลี่ยนของชีวิต บ้านแกขาดแคลนไม้ฟืนเป็นอย่างมาก ไม่มีป่า มีแต่ต้นไม้ในนาของใครของมัน กิ่งไม้ หักลง อย่าไปเอาของเขานา เขาหวง มีเรื่องกันบ่อย ทำนาเจอหัวตอขุดเอามาตากไว้ริมคันนา แล้วก็ขนไปเก็บที่บ้านไว้ทำฟืน หนัก หนาขนาดนั้นแหละ พ่อแม่ยินข่าวป้าเหลา พี่สาวแม่อยู่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) มีแต่ป่าไม้เต็งรัง เป็นดงทึบ ได้ยินก็ตาลุกกัน อยากไปอยู่ถิ่นที่ป่ามันเยอะบ้าง ก็ไป สำรวจดู พ่อซื้อที่นา 2 แปลง และบ้านพร้อมที่ดิน 1 หลัง แล้วกลับมาบอกจะอพยพไป อยู่กับป้าเหลา มีผู้สนใจไปอยู่บ้านใหม่ 2 ครอบครัวคือ คุณอาเจริญ ภูมิชัยโชติ เหมารถหกล้อคันหนึ่งไปส่งที่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัด อุดรธานี(ขณะนั้น) ผมรอสอบไล่ ป.4 ไม่ได้ไปด้วย ต้องย้ายไปอยู่บ้านพี่สาวคนโต รู้สึก ใจหวิว ๆนะ เพราะเป็นลูกติดแม่ แต่ พี่สาวก็ดูแลดี สอบไล่เสร็จผลสอบได้ที่ 1 และคะแนนสูงสุดในอำเภอ มีสิทธิ์รับทุนเรียน ต่อถึงระดับมัธยมศึกษา 6 ปี อันนี้เขา เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง ใครจะแยกจากพ่อแม่ได้ เล่นอพยพไปกันหมด ตอนพ่อกลับมา รับครูก็พยายามมาต่อรองขอให้รับทุน พ่อไม่ตกลง แต่แกรับปากจะให้เรียนต่อจนจบ ม.6 อพยพไปบ้านใหม่ บ้านใหม่ หนองลุมพุก เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ประมาณ 40 ครอบครัว ประกอบด้วยพวกอพยพสองกลุ่ม กลุ่มใหญ่มากจาก สุรินทร์ ศรีสะเกษ อีกกลุ่มจากร้อยเอ็ดกาฬสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนสุรินทร์ มีวัดชื่อวัดอัมพวัน หลวงปู่อายุเกินร้อยเป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่อินทร์ จากสุรินทร์เป็นผู้ช่วย นอกนั้นก็เป็นพระ บวชช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษาก็สึก ไม่มีโรงเรียน ต้องเดินไปกิโลครึ่ง โรงเรียนบ้านหนองกุงคำไฮ เด็ก ๆ ไปเรียนที่นั่น ใกล้ วัดเป็นหนองน้ำชื่อหนองลุมพุก มีต้นลุมพุกขึ้นริมขอบสระ 1 ต้น ชื่อ หมู่บ้านไปจากหนองน้ำนี่เอง ตรงกลางเขาขุดสระเก็บ น้ำไว้ใช้บริโภคกันทั้งหมู่บ้าน หนุ่มสาวเย็น ๆลงมาที่หนองน้ำกัน มอง เห็นๆ รอบ ๆสระน้ำมีคนมาอาบน้ำกันเยอะ สาว ๆ หาบ น้ำไปให้หนุ่มอาบ หนุ่มก็อาบมันกลางแจ้งนั่นแหละ สาวก็ยืนดู เขารู้ เห็นหมดแหละกล้ามหรือก้างแค่ไหน ส่วนสาวเขาหาบไป อาบที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ก็อาบที่บ้าน น้ำดื่ม หน้าฝนก็รองน้ำฝนไว้ หน้าแล้งก็มองหาบ่อที่ไหนน้ำอร่อย ก็ไปหาบมาใส่ตุ่มไว้ ดื่ม บ่อที่น้ำใสเฉย ๆ ไม่อร่อยไม่เอา นี่แหละทำไมเป็นนิ่วกันมาก เพราะชอบน้ำอร่อยนี่เอง ต้องไปเข้าคิวกันนะน้ำดื่ม ไปก่อนได้ ก่อนมาทีหลังก็รอคิว หลายชั่วโมงกว่าจะได้ หน้าแล้งน้ำไหล ช้ามาก แต่เห็นหนุ่มสาวเขาชอบไปรอคิวตักน้ำดื่มกัน วัดอัมพวัน บ้านหนองลุมพุก ........รอบ ๆ หมู่บ้านเป็นป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ก็มีต้นไม้ขึ้นประปราย ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงจั๊กจั้นออกพอดี เพื่อน ใหม่เขาพาไปจับจั๊กจั่นไม่เคยเห็น เดินหาจับเอาจริง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างมันบินหนีก่อน กลับมาบ้านพ่อหัวเราะ บอกเขา ใช้ยา งตังก็คือกาวเหนียวยางไม้ผสมน้ำมันยางอุ่นไฟให้ผสมกันดีแล้วเหนียว ติดปีกจั๊กจั้นไปไม่รอด หัดทำยางตังได้ก็ไปลอง จับง่าย หน่อย เห็นต้นไม้มีรอยคนเอาไม้เคาะ ถามเพื่อนเขาบอกพวกหาบ่าง เสียงคนเคาะมันนึกว่าคนจะโค่นต้นไม้ บ่างที่ หลบในโพรง จะออกบินไปต้นอื่น โดนเขาไล่จับไม่ยาก แปลกดีไม่เคยเห็น วันหลังมีพลุไม้ซาง ลองเคาะดู ใช่จริง ๆ ถ้ามีบ่าง มันรีบออกจาก โพรงบินหนี เราก็ตามยิงเอา เพื่อบ้านหลายคนรู้ว่าเรามาอยู่ใหม่ หลายคนอัธยาศัยดีมาชวนไปเที่ยวเดินป่า กว่าโรงเรียนจะเปิด เทียวเล่นอยู่กว่าสองเดือน ได้ประสบการณ์มากมายทีเดียว ........เก็บผักหวาน...บ้านแกไม่รู้จักหรอก ไม่มีป่าได้กินแกงผักหวานอร่อยมาก สาวข้างบ้านเขาชวนไปเก็บผักหวาน ไปแต่เช้า เดินไกลซักสองกิโลเมตร เป็นป่าทึบ มีรอยคนเดินยังกะทางพระเดินจงกรม เขาบอกทางคนเดินไปต้นผักหวาน ขำดีตามรอยไป เจอต้นผักหวานทุกที มียอดมากบ้างน้อยบ้าง จนสายได้ผักหวานพอแกง สาวมาดูตะกร้าเรา เขาแบ่งให้บอกว่ามันน้อยไป ไม่ พอแกงหรอก น้ำใจคนบ้านนอกเหลือเกินจริง ๆ จากนั้นก็ไปหาไข่มดแดงกัน มดแดงแถวนี้อยู่ต่ำ ไม่ต้องใช้ไม้ยาว ๆ เขาเดิน ไปหักเอารังมันมาเคาะใส่ตะกร้า ทิ้งให้มันไต่ออก ไม้ยาว ๆ มาหิ้วไปที่ใหม่ สามรังพอแกง อีกนั่นแหละเขาแบ่งให้ แกงผักหวาน ต้องใส่ไข่มดแดงถึงจะอร่อย สาวบอก กลับมาบ้านพี่สาวแย่งไปจัดการ มีคนแห่มาถามสนุกไหม ก็ดีนะความรู้ใหม่ ภูเก้า ป่าไม้ยังพอมี ให้ไปหาของป่า ........ไปขุดอึ่งอ่าง เพื่อนบ้านเขามาชวนพี่สาวสองคนคือพี่พุดพี่สีดาไปขุดอึ่งที่ภูเก้า ขอไปกะเขาอยากดูอึ่งเป็นตัวแบบไหน ที่ บ้านแกไม่เคยเห็นหรอก สองสามวันก่อนเขาเอาต้มส้มอึ่งอ่างใส่ใบผักติ้วมาให้ถ้วยหนึ่ง ลองซดน้ำดูอร่อยนะ พอเขาจะไปขุด อึ่งจึงขอไปด้วย เด็กผู้ชายมันบอกให้เอาบั้งตังไปด้วย เดินไปภูเก้าประมาณห้ากิโลเมตร ปีนเขาอีก ครึ่งชั่วโมง ถึงไหล่เขา ป่า ไผ่เพ็ก พื้นเป็นทราย มีร่องรอยคนขุดกระจุยกระจาย เขาบอกพวกขุดอึ่งอ่าง มันมุดอยู่ในทราย ลองขุดดูนะ ไม่ค่อยเจอ แต่ พวกผู้หญิงเจอเอา ๆ นานมากกว่าเราจะได้ตัวหนึ่งดีใจมาก เห็นรูมันต้องขุดตามใจเย็น ๆ ลึกซักศอกก็ตามเจอ ผมขุดได้สาม ตัว เองก็ต้องหยุด เพราะจั๊กจั่นมันร้องระงมดงเลย เพื่อนมันมาบอกไปตัดไม้โจดมาทำคันไม้ไปติดจั๊กจั่นกัน ปล่อยพวกพี่ ๆ เขา ขุดหาอึ่งอ่างกันต่อ ตอนเที่ยงเลยได้กินก้อยจั๊กจั่นใส่มะม่วงดิบ เดือนเมษายนมะม่วงลูกเล็กอยู่ใส่ก้อยพอดี อาหารเที่ยงเลย ไม่ต้องรบกวนอึ่งอ่าง อ้อบริเวณใกล้กันเป็นป่าต้นติ้ว หรือแต้ว ที่แมงจี่นูนชอบกินใบอ่อน อิ่มแล้วก็ทิ้งตัวมุดอยู่ใต้ต้นนั่นแหละ ชาวบ้านเขารู้ชวนไปขุดหา ตัวขนาดนิ้วมือ ได้ซักยี่สิบตัวก็พอทำกับข้าวแล้ว วิธีการเหมือนขุดหาอึ่งอ่างเลย แต่ขุดตื้นกว่า เห็นว่าวิธีการแบบเดียวกัน เลยเอามาเขียนต่อไว้ซะเลย ป่าหัวไร่ปลายนามีเยอะ .........ไปคล้องกะปอม เคยฟังคนแก่เล่าเล่าเรื่องที่พรานป่าเขาไปคล้องช้างที่ดงแม่เผด สนุกมาก พอได้ยินคล้องกะปอมก็ ถาม เขาว่าเหมือนคล้องช้างไหม เขาหัวเราะบอกว่าง่ายกว่า ไปหาเชือกป่านมาฟั่นเชือกเส้นเล็ก ๆ 2 เกลียวยาวสักคืบเศษ ทำเป็น บ่วงรูดได้ผูกติดปลายไม้เรียว ไม้ยาวสักเมตรครึ่ง ถ่างบ่วงให้กางไว้ แล้วค่อย ๆ ยื่นปลายไม้ไปหากะปอม คล้องคอ ให้ได้แล้ว กระตุก เชือกรัดคอกระปอมให้เราจับเอาไว้ เขาสาธิตให้ดู ไม่น่าจะยาก ป่าไม้แถบใกล้ผืนนามีกะปอมเยอะมาก พอสาย ๆ แดด แก่มันเริ่มออกแล้ว พอเราเดินผ่านไปวิ่งขึ้นต้นไม้ สูงซักเมตรก็หยุดคำนับเรา มรรยาทดีจริง ๆ ยื่นบ่วงไปคล้อง คอมีแหงนดูเชือกอีก โดนกระตุกบ่วงรัดคอไม่พลาดซักตัว วันแรกได้เกือบยี่สิบตัว เอามาบ้านพี่สาวเอาไปจัดการเอง วันหลัง มีกระปอมแดดเดียวย่างให้กิน เข้าเรียนต่อระดับมัธยม ไปเรียนต่อ .............พ่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับครูโรงเรียนบ้านแกส่งเสริมวิทยา ต้นเดือนพฤษภาคม 2498 ก็พาไปติดต่อเข้าเรียน ที่ โรงเรียนโนนสังวิทยา อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ระดับชั้นละ 1 ห้องเรียน เพื่อนพ่อ คุณตาโส พา ไปฝากให้พักบ้านเพื่อน เมื่อเปิดเรียนก็มาอาศัยบ้านผู้ใหญ่กลม มีคุณยายเป็นผู้ดูแลบ้าน ลูกสาวลูกชายสามคนและมีพวก ลูกหลานอีกสองคน ไม่ค่อยสบายใจนักก็พยายามปรับตัวนะ ช่วยหาบน้ำมาใส่ตุ่ม ช่วยปัดกวาดและเช็ดถูบ้าน เช้าก็ไปเรียน เที่ยงก็กินข้าวที่โรงเรียน เย็นก็กลับบ้านพัก เครียดเหมือนกัน เราเป็นคนชอบเที่ยวเล่น แก้ไม่หาย แอบไปเดินเล่นตลาด ยืน ดูเขาเล่นหมากฮอร์สจนมีความรู้วิธีเล่น สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ นักเล่นหมากกระดานรู้จักเด็กแก่แดดคนนี้ดี อยู่ในสภาพ นี้สองเทอม ผลการเรียนดีมากไม่มีปัญหา เทอมที่สามเลยขอให้พ่อไปฝากเป็นเด็กวัดทุ่งสว่าง วัดทุ่งสว่าง ............วัดทุ่งสว่างเป็นวัดธรรมยุติ มีป่าช้าสำหรับเผาศพอยู่ด้านหลังวัด กุฎิใหญ่มีสองหลัง นอกนั้นเป็นกุฎิไม้ไผ่สำหรับพระ ฝึกอบรมวิปัสสนา เลิกกิจกรรมใช้เป็นที่พักพระเณร แต่ละหลังมี 2 ห้องนอน พระอยู่ห้อง กันให้เด็กอีกห้อง มารู้ทีหลังว่าพระ ก็กลัวผีเหมือนกัน เลยรับเด็กมาอยู่ด้วย เด็กก็มีหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิด้วย ทำความสะอาด ตักน้ำใส่ตุ่ม ซักจีวร จัดเตรียม บาตร จัดที่ฉัน เข้าเวรทำสะอาดศาลา ตั้งที่ฉัน จัดที่ทำวัตรสวดมนต์ มาอยู่วัดเป็นงานมากขึ้น ได้ทำงานใหม่ ๆ เทกระโถน ล้าง ห้องน้ำ ก็ดีทำงานเก่งมากขึ้น ได้เห็นพระที่ท่านถือธุดงค์ พอเห็นใครอวดว่าเป็นพระธุดงค์เลยขำ ๆ หลอกชาวบ้านซะ มากกว่า วัดนี้มีเด็กวัดร่วม 20 คน ช่วยกันทำงาน ได้รับใช้พระเถระ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ วัดโนนสงเปือย ............วัดบ้านโนนสงเปือย เพื่อนบ้านเดียวกันเป็นเด็กวัดอยู่ที่นั่น เขาชวนย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก็ตกลงไปอยู่ด้วย เจ้าอาวาส ท่านใจดี เด็กวัดก็ไม่ถึงสิบคน พระเณรมีน้อย งานไม่หนัก เป็นวัดมหานิกาย ก็เคยอยู่วัดธรรมยุติงานหนัก มาเจอวัดงานไม่ หนัก ก็เลยอยู่กันสบาย ๆ ช่วยทำกิจวัตร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ได้เรียนรู้งานวัดมากขึ้น เป็นประโยชน์มากสำหรับการดำรง ชีวิตใน เวลาต่อมา โรงเรียนโนนสัง ............การศึกษาเล่าเรียนเป็นไปด้วยความราบรื่น สอบได้ที่ 1 เป็นปกติ เคยมีเทอม 1 สอบตก เพราะเจอข้อสอบจังหวัด ครู เอามาทดลองใช้ ตกทั้งห้อง ที่ 1 ก็เราเอง ได้ 49 % อีกนิดเดียวก็สอบได้ แต่ปลายปีสอบไล่ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อจบ ม. 3 ครู ที่สอนอยู่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน จบมาจากเกษตรกรรมชัยภูมิ 3 คน บรรจุพร้อมกัน เห็นเราเรียนจบ ม. 3 เลยชวนไปสอบ เข้าเรียนที่ชัยภูมิ เขารับเด็กเข้าเรียน ม. 4 เพิ่ม 1 ห้อง 40 คน เขาเล่าว่าเป็นโรงเรียนกินนอน มีหอพักให้อยู่ฟรี มีอาหารให้ สามมื้อ ค่าเทอมฟรี แต่เสื้อผ้า เครื่องเรียนต้องหาเอง พ่อฟังแล้วชอบเลยชวนเพื่อนอีกสองคนชื่อ เพิ่ม โสดาวัตร และอีกคน ชื่อพวง นามสกุลจำไม่ได้ มีสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ เพิ่มกับพวงเก่งแฮะสอบได้ที่ 18และ19 ส่วน เราสอบได้ลำดับที่ 39 รองบ๊วย นึกกังวลว่าคนเก่งจากหลายจังหวัดมาประชันกัน เราต้องตั้งใจให้มาก เป็นที่โหล่เขาไม่ค่อยดีแน่ โรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิ ...........กลางเดือนพฤษภาคม 2501 พ่อพาไปมอบตัว ซื้อเครื่องเขียนแบบเรียน ชุดทำงาน จอบ มีด ครุถัง เครื่องมือให้ครูเก็บ เข้าห้องพัสดุ มีหมายเลขติดไว้ของใครของใคร เวลาเบิกภารโรงจะจัดให้ พวกเราเด็กใหม่ โรงเรียนให้ไปอยู่วิทยาเขตบ้าน เหล่า ที่นี่พวก ม.4 มีห้องพักหลังหนึ่ง และห้องเรียน 3 ห้อง โรงเรียนมีที่กว้างสำหรับทำไร่ปอ ไร่มัน ไร่ข้าวโพด รถไถก็มีนะ แตเอาไว้ ใช้สอนนักเรียน เวลาเตรียมดินปลูกพืช ใช้เด็ก 40 คน จอบคนละเล่ม หน้าเดิน ดีที่ตอนคราดยอมใช้รถ คงกลัวเด็ก ทำไม่ดี ตอนปลูกไม่มีเครื่องหยอดเมล็ดหรอก เด็ก ๆช่วยกันหยอด ช่วยกันดายหญ้าพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลกำจัดมดแมลง ดินดีมาก ปอแก้วยาวเฟื้อยเลย ตอนตัดปอก็สนุก เอาลงแช่ให้เปื่อยก็สนุก ไม่สนุกเฉพาะตอนลอกปอแก้ว มันเหม็นจับใจจริง ๆ วันปกติต้องเข้าเวรลอกปอแต่เช้า อาบน้ำแล้วเข้าเรียนยังมีกลิ่นปออยู่เลย บ่นกันเพราะมันเหม็นทุกคน ส่วนวันอาทิตย์ มีจ้าง มัดละห้าสิบสตางค์ ลอกเสร็จล้างสะอาดแล้วนำไปตาก ผมเคยไปทดลองได้วันละ 5 บาทเทียว นอกจากปอก็มีพวกมัน ข้าวโพด นี่คือกิจกรรมนักเรียนโรงเรียนเกษตรกรรมชัยภูมิปีแรกทำ ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนเกษตร ...........พูดถึงการเรียนการสอน มีวิชาสามัญเลขคณิต ภาษาไทย ศีลธรรม วิทยาศาสตร์แยกเรียนเป็น สัตวศาสตร์ และพฤกษ ศาสตร์ แปลกมากเนื้อหาที่เรียน ตอนผมอ่านตำราวิชาชุด พ.ม. ในเวลาต่อมา ไม่ยากเหมือนที่เราเรียนเลย เทอมแรกผลการสอบ ผมได้ที่ 1 กลับคืนมาแล้ว เพื่อน ๆมันมองหน้า คนที่สอบเข้าได้ที่ 1 หล่นไปอยู่อันดับ 10 บวก เจ้าเพิ่ม เจ้าพวงเพื่อนกัน จองที่ เกินยี่สิบมาด่าเราอีกว่ามึงรู้ข้อสอบรึเปล่า ปีสองย้ายเข้ามาเรียนในเมือง เหมือนเดิมยึดที่ 1 ได้อีก เลยได้สัมญานามว่า "บักอ้อป่อง" มีคนขอวิชาอ้อป่องกันมาก แต่มันไม่มีจริง ๆ แต่เรารู้นะว่าทำไมได้ที่ 1 ตลอด เพื่อน ๆ มันกินยาปอบปิ้น สมัยนี้ก็คือยาขยัน ยาบ้า นั่นแหละ อ่านหนังสือไม่หลับไม่นอน ท่องกันชิบหาย เราน่ะเหรอไม่เอายาวิเศษ อ่านอย่างเดียว ไม่เคยท่องจำ แต่ความสามารถในการอ่านของเราสูงมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่าอ่านหนังสือเร็วมาก หนาซัก 500 หน้า ครึ่งวันจบแล้ว หนังสือเรียน 6 เล่มเอง อ่านสัปดาห์ละสองเที่ยว เลขคณิตทำแบบฝึกหัดจบทั้งเล่มตั้งแต่เทอมแรก ส่งให้ครู ตรวจ ครูสงสัยว่าใช้กุญแจรึเปล่า ก็ทดสอบให้ออกไปเขียนกระดานตรวจการบ้านแทนครู แล้วเวลาสอบวิชาเลขได้ เต็มตลอด เพราะอย่างนี้เอง วิชาอื่น ๆ ก็เช่นกัน สมัยนั้นข้อสอบเป็นแบบอัตตนัย ใครท่องมาผิดไปไม่เป็น แต่เราไม่เคยท่อง มันจำได้ อัตโนมัติ คราวหนึ่งครูออกข้อสอบใช้คำผิด เขียนตอบทักครูไป ถูกเรียกไปพบโดนเขกหัวทีหนึ่ง แต่ได้เต็ม สนามกีฬาโรงเรียน-จังหวัด ...........การเล่นกีฬา ผมได้ชื่อเป็นเด็กชอบเล่นอันดับต้น ๆของโรงเรียน สงสัยติดนิสัยมาแต่ตอนเด็ก ๆ โรงเรียนกินนอน มีเวลา ว่างมาก ห้องกีฬาต่าง ๆเปิดให้เล่นได้จนสองทุ่ม ถูกใจมาก หมากฮอสเอย หมากรุกเอย ปิงปอง ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล มวย ใครชอบเล่นอะไร ครูพละแกสนับสนุนให้เล่นเต็มที่ นักเรียนทั้งโรงเรียน 240 คนเอง เวลาคัด นักกีฬา มีไม่ถึง แปดสิบคน นอกนั้นไม่เล่น ขอเป็นกองเชียร์ ผมโดนเพื่อมันยุให้ลงคัดตัวแทบทุกอย่าง ติด ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อข้าม ตาข่าย วิ่ง 80 เมตร 100 เมตร 4 คูณ 80 เมตร กระโดดไกล หมากฮอส ปิงปอง ไม่รู้เพราะเพื่อนมันนัดกันให้ ยอมแพ้หรือเรา เก่งกว่า ไม่ทราบ แต่สงสัยจนทุกวันนี้แหละว่า อะไรจะชนะเขาไปหมด ผลเสียก็เกิดตามมา เทศกาลแข่งกีฬา ครูจับไปเข้าค่าย คุมอาหาร คุมการฝึกซ้อม เช้าวิ่งไปกลับสิบกิโลเมตร กลับมาลงสระน้ำว่ายสองรอบ พักไปทานอาหาร เข้าเรียน บ่ายซ้อม จน สองทุ่มได้พัก แทบหมดแรง เพื่อนมันชอบมาก ยุให้เราตั้งใจซ้อม ชักสงสัยแล้วพวกนี้อยากให้เราบ้า เล่นกีฬานี่เอง แต่พวกมัน ต้องผิดหวัง เพราะสอบได้ที่ 1 เหมือนเดิม ส่วนกีฬา ยิ่งเข้าค่ายยิ่งแข็งแรง เล่นได้คล่องตัวมากขึ้น ฟุตบอลต้องลงเล่นสองรุ่น รุ่นกลางเป็นกัปตัน รุ้นใหญ่เป็นผู้ช่วยกัปตัน พอได้เห็นลีลาการเล่น ครูพละหวงมาก เวลาเจ็บแข้ง ขาเรียกหมอนวดชาวบ้าน มาช่วย เวลาลงแข่งเฟอร์นิเจอร์เต็มสองแข้ง ยืดมาก ก็สมราคานะ ยิงได้แทบทุกนัด ปีอยู่ ม. 6 ได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของ จังหวัดชัยภูมิ ได้เสื้อสามารถ 1 ตัว บนครูแก้ว แม่ลูกสาวลูกชาย ล่างลูกสาวคนเล็ก และลูกชาย นัฐพล แบงค์ เฟิร์ส และนก ความรักหนุ่มสาว. ...........วัยรุ่นแล้วรู้จักความรักหรือยัง ความจริงรู้จักความรักนานแล้วนะ แต่เป็นความรักของเด็ก ๆ อยากเห็นหน้า อยากอยู่ ใกล้ ๆ อยากพูดคุยด้วย เห็นเธอไปคุยกับคนอื่นก็น้อยใจ มันเกิดความรู้สึกนี้ตอนเรียนชั้น ป. 4 เองกระแดะไหมล่ะ สาวชั้น ป. 4 ด้วยกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตา น่ารัก พูดจาดี เพื่อน ๆชายหญิงชอบ เราก็ชอบด้วย เวลาไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ก็อยากร่วมกลุ่มกับเธอ มาวิเคราะห์ดูทีหลัง ใช่เลยเราหลงรักผู้หญิงคนนี้เข้าให้แล้ว เธอชื่อสายพิน ดีที่เราย้ายไปอยู่ที่อื่น เลย ไม่ได้ติดตามข่าวหลังจบ ป. 4 เคยถามทราบว่าย้ายไปอยู่ต่างอำเภอ ไม่ได้เรียนต่อ ช่วงที่กำลังเป็นคนดังของเกษตรกรรม นี่แหละมีเพื่อมากระซิบว่า มีสาว ๆอยากรู้จักเขาเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด เป็นคนคอนสวรรค์ ชักคันคะเยอเหมือนกัน ก็ ดีใจนะที่มีสาว ๆ อยากรู้จัก เขานัดให้มาพบกันก็ได้พูดคุยกัน ขอบคุณที่เขามีน้ำใจ แต่ปีสุดท้ายแล้วไม่รู้จะตกทางไหน ถ้า ขาดการติดต่อกันก็ขอโทษ คุยกันประมาณนี้ จากนั้นก็จบ ม. 6 แล้วกลับบ้าน อ้อจบม. 6 คนสอบได้คะแนนอันดับ 1-3 เขา มีโควต้าเรียนที่แม่โจ้ ที่บางพระ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง พ่อบอกไม่มีเงินให้เรียนหรอก ก็เลยจบแค่ ม. 6 ครับ เมื่อ เดือน มีนาคม 2504 ..............จบ ม. 6 กันแล้ว เพื่อน ๆ อายุ 18 ปี บริบูรณ์กันทุกคน เขาไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่เกษตร อำเภอ แถมมีครู ม. 6 ด้วย แต่เราเพิ่ง 17 ย่าง พออายุครบ 18 ปี เขายกเลิกไม่รับ ม. 6 เลื่อนไปรับระดับอนุปริญญา แทน ซวยไหมล่ะ ชีวิตตอนปฐมวัย โลดแล่นมาดี ๆ ก็มาสะดุดกึกเอาตรงนี้เอง วิถีชีวิตช่วงวัยรุ่น 2504-2510 เขื่อนอุบลรัตน์ ..............เป็นช่วงเวลาที่สอนให้รู้จักชีวิตดีขึ้น ที่ผ่านมาเป็นแบบโลกสวยทุกอย่างดูดีไปหมด ตอนนี้ได้กลับเข้ามาสู่โลกแห่ง ความเป็นจริง ได้รับรู้ความยากลำบากของครอบครัวที่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ ม.6 จนเป็นหนี้สินหลายพันบาท ต้องขาย ควาย ขายหมู ใช้หนี้ จนลดลงเหลือไม่กี่ร้อยบาท พ่อแม่ไม่ได้โกรธเรานะ ยังรักเสมอต้นเสมอปลาย ต่างจากสังคมรอบข้าง ที่เคยชื่นชม ว่าเป็นเด็กคนเดียวในหมู่บ้านที่ได้เรียนต่อ จบแล้วมันคงได้เป็นเจ้าเป็นนาย พอได้เห็นเราตกงานกลับมาอยู่บ้าน เฉย ๆ แนวคิด คงเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงเยาะเย้ยถากถาง เวลาจะด่าลูกหลานยังแกล้งให้เราได้ยินว่า เรียนไปก็เท่านั้น เสีย ควายเสียหมู ไม่ได้ ประโยชน์อะไร แถมพวกที่กำลังส่งลูกไปเรียนก็ถอดใจ ให้ลูกออกก็หลายคน เสียใจนะแต่ที่เขาพูดก็เป็น เรื่องจริง ไม่กล้าไปโกรธ เขาหรอก ขนาดพี่เขยเราก็ยังเป็นกะเขาด้วย ก็เลยได้คิดใหม่จะช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาเพราะแกแก่ มากแล้ว ไว้มีช่องทางค่อย คิดกันใหม่ รับจ้างทำสร้อยแหวน ..............ไปขึ้นทะเบียนทหารกองเกินแล้ว มีเพื่อนพวกหนุ่ม ๆ หลายคนมาชวนไปทำงานหาเงิน ซื้อของมาเดินเร่ขายตาม หมู่บ้าน ก็ดีนะขายสินค้าหมดเงินก็หด เพราะต้องกินต้องจ่าย แต่รายได้มีกำไรน้อย ทำอยู่เดือนเศษก็ต้องเลิก พี่ชายนาย บัวทอง ไปเรียนช่างทำทองรูปพรรณมา แกชวนไปฝึกฝีมือช่างกับแก แรก ๆ ฝึกทำครุถังจากปี๊บน้ำมันก๊าด ทำกระบวยตัก น้ำสังกะสี พอทำได้ แกก็ให้หัดทำเครื่องประดับด้วยทองเหลือง ทำแหวนแบบง่าย ๆ แหวนหัวโต ๆ แหวนใส่หัวพลอย รีดทอง เหลืองทำสร้อย พอทำได้บ้างก็พาออกตระเวนรับจ้างไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ส่วนมากก็พักที่วัด อาศัยข้าวก้นบาตรหลวงพ่อ เรามันเด็กวัดเก่านี่เลย เข้าหาพระท่าน ช่วยปัดกวาดเช็ดถูศาลาโรงฉัน ห้องน้ำสกปรกก็ทำให้ พระฉันเสร็จก็ให้เณรมา ตามไปรับเอาอาหารมากินกัน พี่ชายลงไปตั้งเครื่องมือทำสร้อยแหวน ครุถัง สีกาล้อมดูแกทำงาน เราก็ลงไปเปลี่ยนแกมา ทานข้าว และทำงานที่แกทำค้างต่อ ไม่นานพี่ชายก็ลงมาก็สนุกไปอีกแบบทำอยู่เดือนเศษก็เลิก เพราะงานละเอียดต้องใจ เย็น ๆ ไม่ถูกโฉลกกัน เพื่อนคุ้มบ้านเดียวกัน ชวนไปเลื่อยไม่รับจ้าง เขาให้วันละยี่สิบห้าบาท ไม้ในนาเขาตัดลงจะซ่อมบ้าน ก็เอานะ เล่นกันแต่เช้าดึงเลื่อยกันไปมา ๆ จน เที่ยงก็พักทานข้าวกัน กว่าจะเลิกก็เย็น ทำอยู่สิบวันก็หมดไม้ที่เขาให้เลื่อย แปรรูป ชวนทำเครื่องจักสานไปขาย ..............เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็นว่าทำเครื่องจักสานขายได้นะ หวดนึ่งข้าวนี่ใบละห้าบาท กระติ๊บข้าว 10 บาท ก็ชวน กันไป ตัดไม้นกเขา ไม้บง บนภูเก้า เอามาจักตอกแล้วสานกัน พี่บัวทองอีกนั่นแหละมาสอนให้ สานได้เยอะเหมือนกัน แต่ แจกซะมากกว่าไม่เห็นใครขอซื้อเลย พ่อแกหัวเราะชอบใจบอกว่า ฝีมือยังไม่ดีพอ แจกเขาไปน่ะดีแล้ว ต้องฝึกมาก ๆเก่ง แล้วค่อยคิดทำขาย เพื่อนก็เจอแบบเดียวกัน ความคิดจะหาบกระติ๊บข้าวและหวดมวยไปเร่ขายก็จบลงทั้งที่ยังไม่ได้ออก เดินทาง พับโครงการนี้ไว้อีก ทำอุปกรณ์ทำไร่ทำนา .............เพื่อนกลุ่มเดิมมาชวนเข้าป่าหาตอไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไปค้างซักสามคืน มีข้าวสารอาหารแห้งไปด้วย มันบอก ใกล้ ลงนากันแล้ว ต้องซ่อมคราดไถกัน ไปที่ภูเก้า เจอตอไม้ที่คนเขาโค่นลงจำนวนมาก ก็เลือกเอาที่มันมีรากสวย ๆ ตอไม่ ใหญ่นัก จะขุดเอาไปทำหางไถ ที่มันโค้งงอสำหรับจับนั่นแหละ เลือกเอาตอที่มันมีพูรากสวย ๆ อย่างน้อย 2 พู ถึงจะคุ้ม ถ้า ได้ 3 พูยิ่งดี ใช้มีดถางป่าออก เสียมขุดเซาะจนเห็นรากแก้ว ขวานตัดรากแก้วออก เหลือแต่พูรากที่เลือกจะเอาไปทำหางไถ ตัดปลายรากยาว พอเหมาะ แล้วผลักให้ตอมันล้มลง จากนั้นก็ขุดเซาะให้มันหลุดออกเป็นโครงหางไถ ใช้ขวานถากออก จนเบาพอจะแบกไปได้ อันนี้จะเอาไปตากให้แห้งก่อนค่อยตกแต่งให้เป็นหางไถ เพื่อนมันบอกมาสามวันต้องหาให้ได้ซักห้า อัน มันบอกแต่งสวย ๆแล้วขาย ได้อันละสามสิบห้าสิบเชียวนะมึง ก็เลยหากันไม่หยุดง่าย ๆ เพื่อมันได้สิบกว่าชิ้น เราได้หก ชิ้นเอง เพื่อนคนหนึ่งมันกลับไปเอาล้อ มาบรรทุกกลับไปบ้าน คนเฒ่าในบ้านมาเห็นจองกันหมด เวลาตกแต่งพ่อลงมาช่วย อีกแรง เลยขายได้ทั้งหกอัน ได้เงินตั้งสองร้อย ให้แม่ไป ต่อมาก็ไปหา ง่อนไถ แอก แม่คราด ฟันคราด สำหรับใช้เอง แต่ก็มี คนมาขอซื้อนะ เพราะเลือกไม้ดี ๆมาทำ สวยด้วย เพราะคนแต่งขั้นสุดท้ายคือพ่อ ทำคราด ไถ เชือก ............ช่วงลงนาก็คือช่วงเดือนพฤษภาคม คราดไถพร้อม เชือกนี่สำคัญ ไปตลาดเห็นเชือกป่านมะนิลาเส้นใหญ่ ๆ แพงไป ฟั่นเองดีกว่า ปอแก้วปลูกไว้เยอะแยะเอามาฟั่นเชือก เส้นเล็กสำหรับผูกวัวควาย สนตะพายให้มัน เส้นใหญ่ทำเชือกคร่าวลาก คราด ไถ ทำเองทั้งนั้น หน้านาขอไปนอนที่นา พ่อบอกเองไปนอนได้ แต่ควายเอาไว้บ้าน เพราะเอ็งนอนดีเหลือเกิน แม่ปลุก ยังไม่อยากตื่นเดี๋ยวคนมาจูงควายหนีหมด ก็จริงนอนขี้เซามาก หลานสาวมันต้อนควายมาส่งแต่เช้ามืดให้ไถนา แถมมันช่วย ไถด้วย เก่งกว่าเรา อีกเพราะเขาทำมานาน ที่นาไม่ถึงยี่สิบไร่หรอก ไถสิบกว่าวันก็เสร็จ ที่อยากนอนนา เพราะกลางคืนมัน ว่าง ได้ออกเดินป่าหาหนูนา หาบ่าง มีหมาคู่ใจตัวหนึ่งมันล่าเก่ง ออกเดินป่าเมื่อไรไม่เคยพลาด เจ้าเพื่อนกันนามันอยู่ติด กันนั่นแหละ เลยมีเรื่องออกเดินป่ากัน แทบทุกวัน เวลาไปก็แค่สะพายย่ามมีเสียมและขวาน ปืนแก๊ปด้วย คอยฟังเสียงหมา มันเห่าแล้วตามไป ถ้ามันขุดคุ้ยรูก็พวกหนู แต่บางครั้งก็งูนะ ไฟฉายต้องดี มีถ่านสำรองไปด้วย ถ้ามันมองบนต้นไม้ก็บ่าง นาน ๆถึงเจอพวกอีเหน นอนกลางนามันดีหลาย อย่างแบบนี้นั่นเอง ไถนา ส่องกบ วางเบ็ด ............บางคืนฝนตกทั้งคืน ลองออกเดินตามคันนา ได้กบเขียด บางทีก็ปลา ในที่สุดก็ติดชีวิตแบบชาวนา เอาไก่มาเลี้ย ง มัน ออกลูกมาน่ารักทั้งนั้น แม่มาเยี่ยมบ่อยเพราะลูกชายไม่เข้าบ้าน แกมาทำกับข้าวให้กิน หนู บ่าง กบเขียด มีไม่ขาด แถมแกปลูก ผักสวนครัวที่จอมปลวกใกล้ๆ ให้ด้วย ต้องล้อมให้ดี ไก่มันชอบ พังพอนก็แอบมาเยี่ยมลูกไก่ กลางคืนเงียบ สงบยินเสียงบ่าง นก แมงกลางคืนแทรกมาสบายใจดีมาก ๆ ถัดมาไม่นานกล้าก็งาม ถึงเวลาปักดำ เสร็จปักดำก็ยังไม่ เข้าบ้าน เพื่อนมันชวนลงน้ำจับ ปลาที่เขื่อนอุบลรัตน์ เขากักน้ำปีแรกปลาชุมมาก พ่อซื้อเรือแจวให้ลำหนึ่ง ซื้ออวนถี่ อวนห่างรวมแล้วห้าหกผืน แต่ละผืนยาว 50 เมตร บ้าง 100 เมตรบ้าง น้ำเขื่อนห่างจากกระท่อมนา 3 กิโลเมตรเอง ถ้า น้ำขึ้นเต็มที่ก็ถึงเขตแดนที่นา วันแรกจำได้ดีปลาติดตาข่าย หรืออวนชนิดไม่อยากกู้เลย มันม้วนเป็นเกลียวเส้นเชือก จมลงพื้น ปลาตายหมด ไม่มีปัญญาปลด หาบมากระท่อมหลานสาวมาส่งข้าว มาช่วยกันปลด แล้วให้มันหาบปลาไปส่ง ทางบ้าน ไม่ถามว่าเอาไปทำอะไร วันหลังเห็นหาบเกลือมาให้พร้อมกับปี๊บเปล่า ๆ สองใบ บอกว่าปลาเน่าเสียให้หมักเกลือ เกือบเดือนมั้งที่ลงน้ำจับปลา ปีบสองใบกลายเป็นสิบใบ กลิ่นหอมนะแต่คนอื่นว่าเหม็น พอมัน เค็มได้ที่พี่สาวก็มาเอาไป ปรุงแต่งเป็นปลาร้า สำหรับใช้เป็นของฝากไปแลกข้าวสาร เขาว่ามันดีกว่าขายปลาร้า ต่อมาเสร็จหน้านา เก็บเกี่ยวแล้ว เข้าหน้าแล้ง เพื่อนมันบอกไปนอนในเขื่อนจับปลากัน ก็เลยเลิกนอนกระท่อมนา พ่อแม่พี่สาวมาเก็บของกลับบ้าน วางอวนเขื่อน ..........จะลงไปเขื่อนหาปลากันเตรียมอวนถี่ตาขนาดนิ้วหนึ่ง 3 เส้น อวนห่าง ตา 2.5 นิ้ว 4 เส้น ห่างมากขนาด 4 นิ้ว เส้น เดียว เบ็ดเบอร์ 1 2 3 อย่างละ 20 หลัง เบอร์ 15-18 อย่างละ 100 หลัง เบอร์เล็ก 20 เอา 200 หลัง เรือแต่งให้มีกระโจม กันแดดฝน มีแคร่สำหรับนอนในเรือ มุ้ง เครื่องครัว ปืนแก๊บ พลุไม้ซาง ฉมวก ไฟฉาย ตะเกียง เต็มเรือ ออกแต่เช้า จำได้ สมัยน้ำยังไม่ท่วมบริเวณที่เรามาจอดพักเป็นหมู่บ้านกุดปลาเฒ่า ห่างกันสิบกิโลเมตร ตอนนี้น้ำท่วมมิดหมู่บ้าน มีเนินดิน บางแห่งยังไม่ท่วม ได้พัก กันแถวนั้นเพื่อก่อไฟทำกับข้าว เวลานอนผูกเรือกับต้นไม้ ปักหลักไม้ไผ่ให้แน่น นอนในเรือ ยุง ชุมมาก ๆ มุ้งอย่าเผลอไปถีบมัน ยุงจะเข้ามาหา เราจะออกวางเบ็ดกันตามสบาย ไม่มีคนแย่ง เหยื่อบนเนินไส้เดือนหนีน้ำ ท่วมเยอะมาก จิ้งหรีด เขียด มีให้จับ ไปทำเหยื่อมากมาย กลางวันปลากินเบ็ดปลดไม่ทัน วางได้ไม่เกินสองร้อย สำหรับ เบ็ดชายฝั่ง เบ็ดน้ำลึกใช้เบอร์ 1 2 3 เอาแค่ 20 หลังพอ เหยื่อใช้ปลาหลด ปลาดุกที่ติดเบ็ดชายฝั่ง เบ็ดใหญ่ วางไว้รอบ ๆ กอสวะใหญ่ ที่เขาลือกันว่ามีจระเข้อาศัยอยู่ มีร่องรอยมันเดินเข้าออกด้วย กลัวเหมือนกัน แต่อยากวางเบ็ด บ่าย ๆ ก็ออ หาที่กางอวน ไม้ไผ่ยาวสามเมตร ปักลงผูกดึงออกไปเป็นทางยาว ทุก 10 เมตรปักหลักช่วยดึงให้ตึง ปลาติดจะได้ไม่จม ง่าย กว่าจะเสร็จก็จวนค่ำ พักผ่อน ก่อนออกไปเปลี่ยนเหยื่อเบ็ด ...........กลับที่พัก เพื่อนมันกางมุ้งกินปลาย่างกับเหล้าขาว มันร้องด่าทักทายว่า อ้ายห่าเขียวมึงทำไงปลาดุกปลาช่อนติด เบ็ดมึง เยอะ กูเอามาย่างห้าหกตัวนะ มากินด้วยกันซิ มันรู้ว่าเราไม่หวง พอนั่งเสร็จเพื่อนอีกคนยกหม้อแกงเป็นต้มยำปลา ช่อนตัวโต ใส่ใบมะขามอ่อน ปลาเบ็ดเราอีกนั่นแหละ พวกมันมีเหล้าขาวติดมาด้วยคนละขวดสองขวด แต่เราไม่ขอบเลย ไม่มี เขาให้กินก็ แค่จิบนิด ๆหน่อย ๆ กินอิ่มก็ขอตัวไปดูเบ็ด เพื่อนคนหนึ่งอาสาไปส่องไฟให้ รู้นะว่ามันอยากดูเราวางเบ็ด ทำอย่างไรนั่นเอง คราว หลังมันเอาเบ็ดมาด้วย ไปดูเบ็ดเบอร์ใหญ่ ได้ปลากรายยักษ์ 3 ตัว ปลาเค้าขนาดสองกิโล ตัวหนึ่ง เพื่อนมันขอปลาเค้า อยากกิน ต้มยำและห่อหมก กินอิ่มมาหยก ๆ มันบอกกูจะทำกินเช้าโว้ย ขำ ๆมัน พอเช้าจริงมันไม่ เอาแล้ว มันจะเอาตัวใหม่สดกว่า ก็ ตามใจพวกมัน เช้า ๆซักโมงถึงสองโมงเช้า มีเรือซื้อปลาเร่มาถามขอซื้อปลา ก็ขายปลา กันจนหมด เหลือไว้เฉพาะที่จะทำกับข้าว และปลาเน่าเขาไม่ซื้อ บางวันก็ได้ร้อยสองร้อยบาทเชียวนะ ไม่เลวหรอก ปลาเน่า เสียก็ทำปลาเกลือใส่ปี๊บไว้จะเอากลับบ้าน ปลาช่อนตัวโต ๆ ผมทำปลาแดดเดียวไปฝากแม่ ชะโดเอาหัวให้เพื่อนมันต้มยำ เนื้อทำปลาส้มฝากพ่อและพี่ชาย ไปห้าคืนหมด ข้าวสารต้องกลับ ตอนเช้าเหลือปลาไว้กลับบ้านไม่ขายหมด พักสองสาม วันมาใหม่ ..........เป็นหนุ่มแล้วมีแฟนรึเปล่า เห็นจะมีเรื่องนี้แหละที่ยังโง่ อยู่ที่หมู่บ้านตอนเย็น ๆยังมีสาว ๆเขาเข็นฝ้ายกันอยู่นะ แต่เขา ทำกันบนบ้าน มีหนุ่ม ๆ แวะเวียนไปเยี่ยมพูดคุยกัน เคยไปหลายบ้านนะ สาวรุ่นหน้าตาสวย ๆก็หลายคน แต่ปัญหาก็คือ หนุ่ม ๆแย่ง กันจีบ เราก็ประเภทคุยไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้ แถมโดนเบรคจากพ่อแม่สาวชอบมาคุยกับเราถามเรื่องเรียนหนังสือ เมื่อไรจะไปหา งานทำ เล่นเอาใจเหี่ยวเลย โดนจี้จุดอ่อนไงทำให้ไม่ค่อยอยากจีบลูกสาวใคร ความจริงเขาถามด้วยความ ห่วงใย เราคิดมากเอง มารู้ทีหลังว่าหลายคนนะเขาอยากได้เราเป็นเขย เพราะเห็นเราขยันขันแข็งทำการงานเก่ง แต่นั่น แหละคนมันมีปมด้อยเลยไม่ มีพลังที่จะแสวงหา บางสาวโดนเพื่อเราไปยุเอาไว้ก็มี สรุปได้เลยว่าไม่มีแฟนเป็นตัวตนหรอก ..........สาวนาใกล้กันหน้าตาก็ธรรมดา แต่รูปร่างใหญ่แข็งแรง ช่วงฝนตกใหม่ ๆ ซ่อมคันนากันแต่เช้า เห็นเธอมาซ่อมคัน นา เหมือนกัน สาย ๆ พักก็เลยแวะไปถามไถ่ รู้ว่าครอบครัวเธออาศัยเจ้าของนารับจ้างทำนา เพราะเป็นญาติกัน เดิมพ่อ เธอทำ งานหนัก ๆ ตอนนี้เธอต้องลงมือช่วย ทั้งขุดดิน จับไถ ทำหลายปีจนชำนาญ เราก็ชมตามความจริงก็ทำให้รู้จัก คุ้นเคยกัน แต่พ่อ แม่เราคิดไปไกลมากแล้ว เห็นเราสนิทกับเขาอยากได้เป็นสะใภ้แล้ว แม่ว่าถ้าแกได้เมียขยันแบบนี้ไม่มี อดตายหรอก ว่าไปโน่น เราก็ได้แต่ยิ้มไม่มีความเห็น ไม่ได้รังเกียจแต่คิดในใจว่าไม่มีงานทำจะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเมีย ปี 2510 พ่อแม่จึงร้องขอให้ บวชสัก 1 พรรษา สึกมาค่อยมีครอบครัว ก็ตกลงบวชก็บวช..... จบตอนที่ ๑ ต่อไปตอนที่ ๒ หนีแต่งงานไปบวช .........ข้อเขียนชุดอัตชีวประวัติ ลงบลอคแล้วมี 3 ตอนครับ เอาลิงค์โพสไว้ที่หน้าเฟซ ท่านสามารถคลิกหัวเรื่องที่มุมบนขวา ซึ่งเป็นราย การข้อเขียนต่างๆ ในเวบบลอค ไม่ต้องออกไปหน้าเฟซยาก ตามสบายครับ ขุนทอง ศรีประจง -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อัตตชีวประวัติ ตอนที่ 2 ช่วงอุปสมบท 2510 -2516 -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ………….ประเพณีการบวชลูกของชาวบ้าน....นิยมบวชแล้วจำพรรษา 3 เดือน ออกพรรษาก็สึก เมื่อตกลงบวชใก้พ่อแม่ ท่านเตรียม การใหญ่เลย อ้อมีคนจะบวชคราวนี้ หลายคนนะเช่นคุณประเสริฐ ภูมิชัยโชติ นายทองใบหาญบัญญัติ นายห่วย.....นายสี.....นายสนิท คำประสาร รวมเป็น 6 คน ที่วัดเหลือพระ 1 เณร 2 คือ คุณคำภา สามเณรทิ สามเณรก่ำ พวกนี้บวชมานานแล้ว ดังนั้นในพรรษาจึงมี พระ 7 รูป เณร 2 ส่วนเจ้าอาวาสก็หลวงปู่ลี ท่านอายุเกิน 100 ปีแล้ว ความจริงคุณคำภาบวชเป็นสามเณรมาก่อนน่าจะเป็นผู้นำพระ ใหม่ได้ แต่แกอายุ เพิ่งจะ 20 เลยตกมาหาเราที่อายุ 23 แล้ว โยม มัคทายกแกมาเยี่ยมทุกวันพระ มาจำศีลแนะนำกิจวัตรที่พระต้องทำ แกเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ เล่าความเป็นมาของวัดให้ฟัง ก็ดีนะเพราะไม่เคยสนใจมาก่อน ...............1.บวชและอยู่ที่วัดอัมพวันบ้านหนองลุมพุก .......วัดอัมพวัน เกี่ยวข้องกับถ้ำใหญ่บนภูเก้า เพราะชาวบ้านเคยไปเชิญพระพุทธรูปจากถ้ำมาไว้ที่วัดองค์หนึ่ง ลักษณะงดงามมาก เป็น พระปางสมาธิหน้าตัก 45 เซนติเมตร เคยทราบมีคนมาให้ราคาเป็นแสนขอบูชา ทายกแกบอกให้ดูแลพระพุทธรูปองค์นี้ให้ดี พระ ที่อาวุโสให้นอนห้องพระ ต้องทำวัตรพระทุกวันอย่าขาด ทุกวันพระใหญ่จัดน้ำหอมมาสรง กิจของพระที่ต้องทำ คือทำวัตรเช้าทำวัตร เย็นขาดไม่ได้ ออก บิณทบาตทุกเช้า ลานวัดอย่าปล่อยให้รกรุงรัง ถ้าหญ้ารกทำไม่ทันบอกชาวบ้าน วันพระต้องลงไปให้ศีลพวก มาจำศีลตอนเช้า บ่ายเทศน์อบรม เช้ารุ่งขึ้นก็ให้ศีลห้าก่อนกลับบ้าน มีงานทำบุญบ้านต้องเจริญพุทธมนต์ คนตายต้องสวดอภิธรรม ฟังโยมเล่าก็หนักใจนะ คนเก่าก็นำไม่ได้ไม่มั่นใจ เราก็ต้องเร่งท่องบททำวัตรสวดมนต์ ท่องเจ็ดตำนาน ได้สองสัปดาห์มั้งมีคนตาย น.ส.กุล คนรู้จักกันซะด้วย โยมรีบมาบอกต้องสวดมาติกานะ แกตายตอนสาย ๆ ตกเย็นต้องไปสวด คุณคำภาและสองเณรก็ไม่ รับ ปากว่าจะนำสวดได้ ก็เลยตัดสินใจท่องมันให้ได้ ใครท่องจำไม่ได้พกหนังสือไปด้วยแล้วกัน ความจริงก็ไม่มั่นใจหรอก แค่หก ชั่วโมง เองจะสวดได้ไหม ดีที่พื้นบ้านเขาสวดบทธรรมสังคินีมาติกา แล้วก็ชักอนิจจา ให้พร แค่นี้ก็สามารถนำสวดได้ ถึงเวลาชาวบ้าน เขา มาตาม ก็ขอดูศพปลงอนิจจัง นั่งเรียบร้อยก็ปล่อยชาวบ้านเขาสวดมนต์ไหว้พระ รับศีล แล้วพระใหม่ 7 สามเณรเก่า 2 ก็สวด ธรรม สังคินีมาติกา ตามด้วยบท เหตุปัจจโย เป็นอันจบ สักครู่เขาโยงสายสิญจน์มาให้ สวดบทชักบังสุกุล เขาถวายปัจจัยแล้ว ก็ให้พร เป็น อันจบ ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย โยมทึ่งมากพระใหม่ทำได้อย่างไร สวดสามวันก็เผา ผ่านงานยาก ไปได้ ……….2. .เป็นพระเณรต้องสามารถทำวัตรสวดมนต์ ........ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น สบายมากท่องได้กันทุกคน แต่เราต้องนอนห้องพระพุทธรูปสำคัญ ต้องท่องบททำวัตรพระสวดทุกเย็น มีคน บอกวัดนี้ผีดุ ถ้าพระเณรทำผิดวินัยระวัง ตกกลางคืนจะมีเสียงตีฆ้อง ตีกลอง หรือไม่ก็กวาดหลังคา คุณคำภาและสามเณรก็ ยืนยันว่า เคยเจอเสียงกวาดหลังคาสังกะสี เคยเจอเสียงเคาะฝา เราก็สงสัยนะว่าผีอะไรจะดุปานนั้น ทำวัตรสวดมนต์ก็แผ่บุญกุศลให้ทุกวันไม่ขาด จะมาหลอกกันทำไม ลองมาดูสิจะจับผีให้ดู มีเงินกองกลางอยู่เลยประชุมกัน ซื้อไฟฉายสามท่อนแจกทั้งพระทั้ง สามเณร ถ้าถ่านหมดต่อ ไปให้ซื้อเอง ถ้าพบอะไรผิดปกติให้ดูชัด ๆว่ามันคืออะไร กลางคืนอย่าไปคนเดียว ให้มีเพื่อนไปด้วย หอระฆังอยู่ใกล้กุฏิ กลางวันเลยขึ้น ไปสำรวจ กลองเพลอยู่ชั้นล่าง ระฆังแขวนอยู่ชั้นบน ขี้นกขี้จิ้งจกตุ๊กแก เต็มไปหมด เลยวาน สามเณรช่วยทำความสะอาดกัน หันไปมอง หลังคากุฎิ เห็นกิ่งฉำฉากิ่งหนึ่งหย่อนลงมาใบพาดระหลังคา เลยนึกภาพว่าถ้าลมพัดแรง กิ่งมันคงแกว่งไปมา ถูกสังกะสีคงดังเหมือนคน กวาดสังกะสี อยากให้มีลมพัดดูจะได้รู้จริงไหม ไม่ต้องรอนานหรอก หน้าฝนนี่ ลม พัดแรงมาก พระเณรเข้าห้องกันหมด เราเดินออกมา รองน้ำฝน เสียงลมพัดแรงเหมือนกัน หลังคามีเสียงกิ่งไม้นั่นแหละ ดังยัง กะคนเอาไม้กวาดมากวาดหลังคา แน่แล้วนี่คือผีกวาดหลังคา วันต่อมาก็สั่งสามเณรตัดไม้กวาดผีออก ไม่มีเสียงผีกวาดหลังคา อีกเลย .............3. ตรวจจับผีที่หอระฆัง ........ผีตีกลอง ผีเคาะฝา มันเก่งนะผีวัดนี้ ขนาดเราเตรียมไฟฉาย 7 กระบอกยังกล้ามาเคาะฝา ตีกลอง วันหนึ่งสองเณรมาบอก หลวงพี่ ว่า เจอผีเคาะฝาแล้ว ได้ยินเสียงซักสามทุ่ม อ่านหนังสืออยู่ได้ยินเลยชวนกันมาดู ย่องลงไปข้างล่างมันยังไม่หยุด ส่องไฟดู จิ้งจกครับมัน คาบแมลงฟัดไปฟัดมา เหมือนคนเคาะข้างฝา ทำไมผมไม่คิดหาไฟฉายมาส่องก็ไม่รู้ กลัวมันมาสองปีแล้ว (ขอบใจ สองเณรที่ช่วยไขข้อ ข้องใจผีเคาะฝาได้ คงเหลือแต่ผีตีกลอง ยังไม่มีวี่แววเลย จนกระทั่งจวนออกพรรษา วันนั้นมีคนตายที่บ้าน หนองกุงคำไฮ เขาหามศพไป ป่าช้า ผ่านวัดเราไป ตกดึกมีเสียงผีตีกลอง แหมช่างเลือกวันเหลือเกินนะ ห้องผมแน่นพระเณรมา ออกันอยู่ กลัวผีตีกลอง ผมต้องออก หน้าจะพาไปดู เชคไฟฉายให้เรียบร้อย นับหนึ่งสองสาม กราดไฟส่องทันทีนะ พาย่องไปที่ปลาย ชาน หามุมที่ส่องไฟเห็นหน้ากลองพอดี กลางวันดูไว้แล้วยืนตรงไหนไม่มีอะไรบัง ใกล้แล้วหยุดยืนนิ่งเงียบด้วยใจระทึก นานมาก ค่อยได้ยินเสียง ตึง ตึง ตึง แน่ใจว่าอยู่แถวหน้า กลองเลยให้สัญญาณส่องไฟพรึบ เจ้าผีตาลุกวาว มันคงตกใจแน่นิ่งอยู่กับที่ ปากคาบ ตะขาบตัวใหญ่ฟัดหน้ากลอง อ้ายผีตุ๊กแกเอ๊ย มาหลอกพระเณรเขากลัวจนหัวหดมาหลายปีแล้ว หัวเราะกันเณรอาสาไปต้มน้ำชามา มาถวาย นอนไม่หลับมันขำมากกว่า ..............4. เรียนนักธรรมตรีแบบไม่มีครู .........ผ่านไปไม่นานมีหนังสือแจ้งมาถึงเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ในฐานะเจ้าสำนักเรียนให้ส่งรายชื่อนักศึกษาธรรมชั้นตรีโทและเอก ประชุมกัน แล้วให้จัดส่ง ส่วนมากชั้นตรี มีคุณสนิทคนเดียวชั้นโท ครูสอนไปปรึกษาพระกรรมวาจาจารย์ วัดใกล้เคียง ท่านอนุญาต ให้ใส่ชื่อเป็นครู สอนให้ แต่เวลาสอนให้ช่วยกันเองท่านไม่มีเวลามาสอนให้ คุณสนิทบอกสอนไม่ได้ เรียนนานแล้ว คนอื่นก็ไม่มีใครเคยเรียน ยกให้เราเป็น ผู้นำ เลยจัดประชุม มอบหนังสือเรียนให้ไปศึกษา พบกันวันละครั้ง หลังฉันเช้า ขอเวลา 1 ชั่วโมง เริ่มจาก วิชาธรรมะ วิชาพุทธะ วิชาวินัย และวิชากระทู้ ให้ไปอ่านหนังสือมาคุยกัน หยิบหัวข้อขึ้นมาแล้วถามมีใครสงสัยคำอธิบายหัวข้อนี้ ไม่มีคนสงสัยแสดงว่าเข้าใจแล้ว ผ่าน ไปหัวข้อถัดไป ที่สนุกคือวิชาพุทธประวัติ ช่วยกันเล่าเรื่องพุทธประวัติ วิชาวินัยก็สนุก มีคำถาม มากมาย ทำไมต้องปาราชิก ทำไมต้อง สังฆาทิเสส พอไล่ลงไปถึงนิสสัคีย์ปาจิตตีย์เริ่มสนุก เพราะรู้สึกว่าตัวเองโดนอาบัติกันบ่อย ออกพรรษามีคนรอสอบสนามหลวง 4 คน สอบ ได้นักธรรมตรี 3 รูปที่ 3 เป็นพระวัดใกล้เคียง มาร่วมเรียนกับพวกเรา ................5. ท่องบทสวดปาฏิโมกข์ ........สวดพระปาฎิโมกข์ เป็นพุทธบัญญัติ พระภิกษุต้องฟังสวดปาฎิโมกข์ทุกวันพระ เดือนละ 2 ครั้ง ปกติพวกเราต้องไปลง อุโบสถที่วัด บ้านหนองเหมือดแอ่ วัดหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ เลยนึกอยากสวดบ้าง จึงทดลองท่องพระปาฏิโมกข์ดู ไม่รู้ใครบอกชาวบ้านมีทายกคน หนึ่งแกออกมา วัด เตือนเรื่องท่องปาฏิโมกข์ ให้แต่งเครื่องบูชาตามแบบโบราณ แกจดให้ด้วยว่าต้องใช้อะไรบ้าง ก็ขอบคุณเขา เอาไว้มี โอกาส จะท่องจริงจังถึงจะทำ ตอนนี้ท่องเล่นเฉย ๆ แต่ความจริงผ่านไปครึ่งเล่มแล้ว แค่สองเดือนก็สวดได้จบเล่ม แต่ยังไม่เอาไปใช้ ขอ ทบทวนให้คล่องก่อน แต่ก็รู้ถึงหูพระอุปัชฌาย์จนได้ ช่วงออกพรรษาเลยได้ทดสอบ สวดได้จริง ๆ พระกรรมวาจารย์ดีใจมาก มี คนช่วย สวด ก่อนนี้ท่านรับสวดคนเดียวมาตลอด ท่านขอพักเป็นคนสอบทานให้เราสวดแทน ได้รางวัลจากพระอุปัชฌาย์ผ้าไตรอย่าง ดี 1 ไตร เชียวนะ ................6. เดินทางไปหาสำนักเรียนปริยัติธรรม ........รับกฐิน ออกพรรษาชาวบ้านเขาถวายกฐิน ไม่มีใครรับ จนโยมเขามาบอกต้องมี 1 รูป ใครก็ได้ หลบไม่พ้นจริง ๆ ถามใคร ก็จะสึก กันหมด เลยต้องไปศึกษาวิธีการรับกฐิน การเดาะกฐิน ทำให้รู้ระเบียบวิธีการเกี่ยวกับกฐินมากมาย ต่อมาเรียนเทศน์ก็ได้ นำไปใช้เทศน์ ด้วย หลังจากนั้นก็ถูกถามว่าพร้อมสึกหรือยัง โยมพ่อถาม คนกำลังสนุกกับการศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยเลยบอกว่ายังขออยู่ต่อ อยาก ไปเรียนเทศน์มีคุณประเสริฐ คำภา สามเณรทิ ออกไปหาสำนักเรียนเทศน์กัน ไปวัดบ้านเทพคีรี อำเภอนากลาง ท่านอาจารย์ สุทน นักเทศน์ชื่อดังอยู่วัดนี้ เลยไปขอเป็นศิษย์ท่าน ท่านบอกแนะนำได้เฉพาะวิธีการนะ ส่วนวิชาความรู้ต้องศึกษาค้นคว้าเอาเอง จากตำรา จากการไปฟังคนอื่นเทศน์ เราอยู่กันจนใกล้เข้าพรรษาก็ลาท่านไปหาสำนักเรียนบาลี ทางขอนแก่นมีชื่อหลายสำนัก ที่สุดไปได้สำนัก เรียนวัดหรคุณบ้านหนองหาญจาง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่ พระมหาเสาร์ อภินันโท ปธ. 5 เป็นเจ้าอาวาส สำนักนี้สอนนักธรรม บาลีด้วย สอนเทศน์ด้วย ตรงกับที่อยากเรียนพอดี ไปสมัครเข้าสำนักเรียน ท่านก็รับไว้ เรียนนักธรรมโท เรียนบาลีไวยากรณ์ และเรียน เทศน์หกกระษัตริย์และเทศน์ปุจฉาวิสัชนา อยู่สามปีสอบได้นักธรรมเอก สอบได้ประโยคสอง ได้ ติดตามอาจารย์ไปเทศน์ร่วมสิบครั้ง ก็ นับว่าสมความตั้งใจ …………7. ติดตามอาจารย์ไปอยู่จังหวัดเลย .......พรรษาที่ 5-6 และ ทางจังหวัดเลยนิมนต์พระอาจารย์ไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมืองเลย โดยให้ไปอยูที่วัดศรีบุญเรือง ตำบล กุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย.....วัดนี้เป็นวัดเจ้าคณะจังหวัด ชื่อท่านพระวีรญาณมุนี หรือที่รู้กันในนาม สีหนาทภิกขุ ท่าน เป็นนัก เทศน์ นักปกครอง พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ผมชอบมาก....ท่านไม่ยึดติดรูปแบบ แต่ชอบเรื่องเหตุผล อธิบายธรรม ภาษาง่าย ๆ อยู่วัดนี้ได้ความรู้และประสบการณ์มากมาย ได้ช่วยสอนนักธรรม ช่วยสอนบาลีไวยากรณ์ ช่วยสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ได้ ทำงานเลขา นุการเจ้าคณะอำเภอ ดูแลการจัดการปริยัติธรรมของอำเภอเมือง ทั้งยังต้องช่วยงานระดับจังหวัดด้วย เพราะ งานท่านมาก ช่วงสองปี แรกที่มาอยู่วัดศรีบุญเรือง นอกจากงานสอนนักธรรมบาลีแล้ว เรื่องส่วนตัวก็พัฒนาไปไม่หยุด สอบได้ เปรียญสาม และเปรียญสี่ สอบ ได้วิชาชุดครุ พ.กศ.ใช้เวลาสองปี พรรษาที่ 7 อยู่วัดศรีบุญเรืองเหมือนเดิม ทำงานเดิม รับงานเทศน์บ้างไม่มาก ปีนี้ตั้งใจสอบ พ.ม.ให้ ได้ในปีเดียว 4 ชุดวิชา แต่เปรียญห้าก็เตรียมสอบเหมือนกัน ผลสอบได้วิชาชุด พ.ม.ยกชุดในปีเดียว ส่วน เปรียญห้าสอบตก พ่อแวะ มาเยี่ยมถามสุขทุกข์ ก็ได้บอกจะสึกแล้วนะ จะไปสอบบรรจุครู มีสิทธิ์สมัครสอบได้แล้ว พ่อก็น้ำตาซึมนะสิ่งที่แกวาดฝันมานานบรรลุ จุดหมายปลายทางคราวนี้เอง วันที่ 10 เมษายน 2516 ลาสิกขาบท ไปสอบบรรจุที่จังหวัดเลย สอบได้ที่ 1 เลือกลงที่ศรีสงครามวิทยา อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ได้ตำแหน่ง ครูตรี เขาจัดตารางให้สอนวิชาศีลธรรม ตั้งแต่รู้ข่าวจะไปบรรจุ ไม่ถามเราเลย เห็นเป็น มหา เปรียญ เอ้าสอนศีลธรรมก็ดีได้เทศน์ให้เด็กฟัง ชีวิตช่วงรับราชการเป็นครู ............สึกแล้วยังอาศัยวัดอยู่ ถึงมีคนยินดีให้ไปพักอาศัยอยู่ด้วยก็ไม่ไป เพราะรู้ว่าไม่ใช่ให้พักฟรี ๆหรอก ลูกสาวตั้งสามคนจะ ไปพัก ด้วยได้อย่างไร เกรงใจเขา อยู่วัดก็ไม่ได้เอาเปรียบนะเพราะยังต้องสอนพระเณรที่เรียนการศึกษาผู้ใหญ่ ส่วนนักธรรมและ บาลีขอพัก แต่พระเณรมาปรึกษาก็ยินดีแนะนำ ไปทำงานนั่งรถโดยสารทาง 20 กิโลเมตรก็ไม่สะดวกนัก อาจารย์ขอร้องให้อยู่วัดไปก่อน สอน งานเลขาใหม่ให้ด้วย วันหนึ่งโยมทางบ้านหนองแคม อำเภอท่าลี่มานิมนต์ไปเทศน์หกกระษัตริย์ พอเจอเราสึกแล้ว ก็หัวเราะกันใหญ่ อีกกลุ่ม ก็พวกอำเภอปากชมมานิมนต์พระไปอยู่วัดในอำเภอ เจ้าคณะท่านกลับกาฬสินธุ์ อยากได้พระเปรียญ มีสองคน รูปหนึ่งท่าน ไม่ไป คนที่ 2 คือเรา จะลาสิกขาบท เลยชวดไปอยู่อำเภอปากชม ว่าที่เจ้าคณะอำเภอดี ๆ นี่เอง แต่ไม่เสียดายหรอก ผ้าเหลืองร้อนแล้ว อัตชีวประวัติตอนที่ ๒ คัดลอกจากเวบไซท์ .................1. บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา อ.วังสะพุง จ.เลย ...........พ่อป่วยหนักเขาแจ้งข่าวมา ได้กลับไปดูอาการและพาไปคลินิก และโรงพยาบาล ได้ยาก็กลับไปอยู่บ้าน หมอก็ไม่บอกเป็น อะไร เพียงบอกว่าโรคชรา กลับไปเยี่ยมแกก็ดีใจนะ ช่วงหลังนี่พ่อเปลี่ยนไปมาก จากคนชอบเข้าป่าหาปูหาปลา แกเลิกหันหน้าเข้า วัดจนเขาเรียกทายกพ่อมหา แม่ก็เข้าวัดจำศีลเป็น ขำ ๆนะอานุภาพลูกบวชแถมเป็นพระมหานี่แรงเหมือนกัน นี่แหละน้าที่เขา เรียก บวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ จูงใจให้ฝักใฝ่บุญกุศล ทางไปสวรรค์ชัด ๆ ไม่นานพ่อก็จากไป ก่อนหน้านั้นสามปีแม่จากไปก่อนแล้ว ด้วยโรค มะเร็งหลอดลม ก่อนนี้เคยวิตกนะว่าพ่อแม่จากไปเราคงวังเวงมาก ลูกติดแม่นี่ พอได้บวชจิตใจมันเข้มแข็งมากกว่าเดิม ก็ทำใจได้ ท่าน ทำบุญมาแค่นั้น ได้เห็นลูกชายบวชก็ดีมากแล้ว ช่วยให้หันหน้าเข้าวัด ได้ทำบุญกุศลมากมาย พ่อนี่โชคดีกว่า ได้ เห็นลูกชายรับ ราชการเป็นครู ที่แกหวังมาตลอดชีวิต สาธุ ไปที่ชอบ ๆ ทั้งแม่และพ่อนะครับ ...............2. แต่งงาน .........เป็นครูตอนอายุ 29 ปี แก่มากแล้วควรมีครอบครัวแล้ว อยากให้พ่อเห็นภรรยาเหมือนกัน แต่หาไม่ทัน จนพ่อเสียแล้วจึงพบ ว่า มีคนที่เราสนใจ 3 สาว เป็นคนดีทุกคนนะ สองคนแรกเป็นลูกสาวของอุบาสิกาชาวบ้านติ้วนั่นแหละ พ่อแม่ก็มาวัดบ่อยรู้จักเรา บ้าง พอทราบว่าเราสนใจลูกสาวเขา เขาก็ไม่รังเกียจนะ จุดอ่อนสองสาวนี่คือเรียนหนังสือน้อย แค่ ป. 6 คงทำอาชีพเหมือนพ่อแม่ คือ การเกษตรเป็นหลัก ส่วนคนที่ 3 ก็ลูกสาวมัคทายกวัด เป็นครู น่าจะไปกันได้อาชีพครูเหมือนกัน พ่อแม่ก็รู้จักเราดีมาวัดบ่อย ดูแล เรื่องเงินของวัดทำงานกับเราประจำ มีแม่สื่อมาบอกให้รู้ว่ามีลูกสาวเป็นครู นัดให้ไปดูตัวตอนเขากลับมาเยี่ยมบ้าน ก็ดูเป็น คนเรียบ ร้อยนะ ถึงจะเป็นนักเรียนเพาะช่าง กรุงเทพฯก็ตาม....อ้อมีแฟนทำงานอยู่กรุงเทพฯด้วย คงเพราะห่างไกลกันก็เลยค่อย ๆจางไป กอง เชียร์หันมาเชียร์เราเยอะนี่ มีแม่ยายเป็นหัวหน้าด้วย เสร็จกันเลย ในที่สุดก็ได้แต่งงานกันกับ น.ส.กาญจนา ศิริหล้า มีทายาท 3 คน หญิงสอง ชาย 1 (ศศิธร ศรีประจง โฆษิต ศรีประจง และ สาวิตรี ศรีประจง) 1 ...........3. ดูแลโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ .........เป็นครูที่รับใช้ศาสนาไปด้วย สงสัยว่าเพราะอาศัยวัดมานาน 7 พรรษา สึกแล้วยังต้องช่วยวัดต่อ การศึกษาผู้ใหญ่ก็ต้องสอน วิชาคณิตศาสตร์หาครูยากเหลือเกิน ส่วนมากครูคณิตศาสตร์ มักจะติดที่เขาสอนพิเศษได้ค่าตอบแทนดีกว่า ....เราเป็นครูแก้ขัด แต่สอนเข้าใจง่าย เด็ก ๆ ชอบ หลวงพ่อเลยให้สอนเรื่อยมา แต่ที่โรงเรียนเขายกวิชาศีลธรรมมาให้ ตั้งแต่ ม.1 ยัน ม. 6 รับเต็ม 24 ชั่วโมง มีครูเก่าช่วย อีก 1 คน นักเรียน 6-6-6--4-4-4 ก็ 30 ห้อง ศีลธรรม 30 ชั่วโมง เรารับไป 24 อีก 6 ครูเก่าช่วยสอน แผน การสอนเราทำเอง เอกสารสื่อเราทำเอง ครูเขาขอไปปรับใช้ก็ไม่ขัดข้อง ช่วงเข้าพรรษาจัดสอนพิเศษให้นักเรียนที่อยากสอบธรรม ศึกษาตรี มีเด็ก สนใจมากร่วม 40 คน นิมนต์พระมาฉันเพลวันเสาร์และช่วยสอนเด็ก เด็กก็ชอบพระก็ชอบ สอบธรรมสนามหลวง ร่วมกับวัด เจ้าคณะอำเภอ นักเรียนศรีสงครามวิทยาสอบได้ปีแรก 35 คน หลวงพ่อดีใจมาก บอกเราว่าปีหน้าให้ส่งมาเยอะ ๆ เพราะ ชื่อเด็ก เป็นนักเรียนสำนักเรียนของท่านเอง ด้วยเหตุนี้แหละเลยขอเปิดเป็นโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เมื่อปี 2517 หลวงพ่อเจ้า คณะอำเภอจัดพระเณรมาช่วยทุกปี เวลาส่งชื่อนักเรียนสอบนักธรรม ส่งในนามสำนักเรียนวัดเจ้าคณะอำเภอ บางปีมากกว่า 100 คน สอบได้ 40 บ้าง 50 บ้าง แค่นี้ก็มากมายแล้ว อ้อโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ศรีสงครามวิทยา กรมการศาสนาเคยส่ง เจ้า หน้าที่มาตรวจเยี่ยม ชอบใจที่อยู่นอกวัด กำชับว่าอย่ายุบเลิกนะ จะจัดงบอุดหนุนให้ เดือนกันยายน 2559 ไปงานเกษียณ ถาม ว่ายังเปิดสอนอยู่ และได้รับงบอุดหนุนมาตลอด สาธุอนุโมทนา …………..4. ประสบการณ์เป็นบรรณารักษ์ ........เป็นครูบรรณารักษ์ สมัยสอบวิชาชุด พก.ศ. หมวด ค มีวิชาพลานามัย วิชาบรรณารักษ์ พระภิกษุส่วนมากเลือกสอบวิชา บรรณารักษ์ เลยมีความรู้ห้องสมุดอยู่บ้าง ครูโรงเรียนนี้ต้องช่วยงานพิเศษนอกเหนือจากงานสอนประจำคนละอย่างสองอย่าง ตอนแรกเขาให้ช่วย งานการเงินแต่ไม่ถูกจริต ที่สุดเลยได้งานห้องสมุด มีหนังสือ 1 ตู้ ตอนหลังได้ห้องค่อยหาครุภัณฑ์และสื่อ ต่างๆเพิ่มจนในที่สุด ก็ขึ้นป้าย"ห้องสมุดโรงเรียนศรีสงครามวิทยา" เคยจัดผ้าป่าหนังสือ ช่วงสอบเสร็จเด็กทิ้งหนังสือกันมาก มาย ให้เอามาทำบุญผ้าป่า ทำบ่อย ๆหนังสือมากขึ้น ๆ เมื่อไปเรียนระดับปริญญาตรี เขาให้เลือกวิชาโท เราก็เลือกวิชาโท บรรณารักษ์ เพราะจะได้ใช้ พอจบ โรงเรียนเขาได้ครูคนใหม่เอกบรรณารักษ์มาพอดี เลยยกห้องสมุดให้น้องเขาไปดูแล …………….5. ประสบการณ์เป็นครูแนะแนว .............ว่างจากห้องสมุด เขาเตรียมเข้าสู่หลักสูตร 2521 มีจัดอบรมที่สำนักงานเขตการศึกษา ที่ส่วนกลาง บ่อยมาก ถูกส่งไป อบรมแนะแนว กลับมาก็เปิดห้องแนะแนว จัดระบบข้อมูลนักเรียน ตามที่วิทยากรแนะนำนั่นแหละ รู้ตัวดีนะว่าไม่มีความรู้ เลย เน้นการให้ ข้อมูลข่าวสารมาก ๆ ส่วนเรื่องแก้ปัญหาเด็กก็ประสานกับฝ่ายปกครอง เพราะเขาทำอยู่ก่อนแล้ว สวนปัญหาการ เรียนของเด็ก ได้จัดทำห้องแนะแนวมีมุมเอกสารคู่มือการศึกษาต่อ การหางานทำ อาชีพที่น่าสนใจ สะสมไว้ค่อนข้างมาก จน เป็นห้องสมุดย่อย ย่อย ๆ เด็ก ๆชอบแวะมาอ่าน แรก ๆ หนังสือหายเยอะ เลยจัดบริการหาหนังสือให้ห้องแนะแนว แจกซอง ผ้าป่าหนังสือให้นักเรียน ไปบอกบุญผู้ปกครอง โรงเรียนอยากได้หนังสือไว้ห้องแนะแนวเพื่อ แนะแนวการเรียน แนะแนวด้าน พฤติกรรมวัยรุ่น แนะแนวอาชีพ ได้หนังสือหลายร้อยเล่ม ได้เงินหมื่นกว่าบาท ก็ขออนุญาตจัดซื้อหนังสือเข้าห้องแนะแนวนั่น แหละ บรรณารักษ์มาต่อว่า ทำไม อาจารย์ไม่ชวนหนูบ้าง ก็ขอโทษเขานะลืมนึกถึงจริง ๆ เพราะอยากได้หนังสือแนะแนวเท่านั้น แต่หนังสือที่ได้มา ไม่เกี่ยวกับ งานแนะแนวก็มาก เลยฝากบรรณารักษ์ให้มาเลือกไปไว้ห้องสมุด ได้ไปสองร้อยกว่าเล่ม ต่อมา ไม่นาน ก็ได้ครูแนะแนวมาบรรจุ เลยส่งมอบงานแนะแนวให้เขาไปทำ ……………6. ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ........ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี นิสัยชอบเล่าเรียนยังไม่หายไปจากใจ เมื่อมีสิทธิ์ลาศึกษาต่อก็ไปสอบดู ครั้งแรกตั้งใจจะเรียน ด้านเอกวิทย์-คณิต มช. หนังสืออ่านเยอะเกินอ่านจบไม่กี่รอบเองไม่มั่นใจ สังเกตดูคู่มือสอบวิชาภาษาไทยไม่ค่อยยาก ไปสอบ เอกภาษาไทยดู ปีต่อไปค่อยสอบวิทย์-คณิต ผลประกาศออกมาติดซะนี่ ผู้บริหารว่าเรียนเลย สอบใหม่อาจไม่ติดก็ได้นะ นั่นแหละ ที่ต้องเรียนวิชาเอกภาษาไทย ภาควิชาแนะแนวดูโปรไฟล์นักศึกษาใหม่ เรียกไปพบถามว่าทำไมเลือกเรียนเอกไทย พื้นฐานด้าน ภาษาคะแนนต่ำมาก อาจารย์แนะแนวเอาโปรไฟล์ให้ดู ก็ขำ ๆ มันต่ำจริง ไปโด่งอยู่วิชาคณิตศาสตร์ เกือบเต็ม ก็เลยเรียนให้ อาจารย์ทราบว่าชอบวิทย์-คณิต เตรียมสอบไม่ทัน วิชาภาษาไทยอ่านหนังสือรอบเดียวมาสอบเลย อาศัยมีพื้นฐานภาษาบาลี เลย พอตอบข้อสอบได้บ้าง อาจารย์แนะนำให้อ่านหนังสือมาก ๆ คนอื่นเขาคะแนนพื้นฐานภาษาไทยสูงทุกคน คงห่วงจะเป็น ตัวถ่วง ในห้อง ก็ขอบคุณท่านแล้วทำตามที่ท่านแนะนำคือ อ่านมาก ๆ ภาคเรียนแรก กวาดเกรด เอ ทุกวิชา ภาคเรียนที่ 2 ก็กวาด ได้อีก ค่าเฉลี่ย 3.7 เชียว ปีถัดมาลงทะเบียนเรียนคอร์สแนะแนว อาจารย์ชมว่าเก่งขยันดีนี่ ตอนจบ กศ.บ.เลยมีคำ เกียรตินิยม พ่วงมาด้วย จบเมื่อ ปี 2519 ………7. ประสบการณ์บริหารงานหมวดวิชา .........หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทยว่างลง เพราะเลื่อนไปเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร ครูจบปริญญาตรีอาวุโสมากก็คือเรา ต้องไปรับหน้าที่ แทน แต่เราสอนศีลธรรมนะ หมวดภาษาไทยก็เกี่ยงให้สอนภาษาไทยบ้าง วิชาศีลธรรมคืนหมวดสังคมศึกษาไป หมวดสังคมก็ไม่ ยอมเลยพบกันครึ่งทาง โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์จะบริหารให้ สื่อสอนศีลธรรมได้แก่แผนการสอน เอกสารและสื่อต่างๆ ยก ให้หมวดวิชาสังคม มีปัญหาคาบสอนศีลธรรมยินดีช่วย ส่วนภาษาไทยก็จัดมาได้วิชาวรรณคดีมาสิบสองชั่วโมง เป็นหัวหน้าหมวด วิชาจะนิเทศครูไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะครูก็เหมือนแมว ดึงให้ไปหน้าแมวจะถอยหลัง ดึงให้ถอยหลังมันจะดันทุรังไปทางหน้า ดึงหลัง ยกขึ้นมันจะหมอบลง ดึงหนังท้องลงมันจะโก่งหลังขึ้น ครูส่วนมากก็คล้าย ๆ กัน เว้นแต่เขาชอบและอยากจะพัฒนาเอง หัวหน้า หมวดแบบผมสบาย ๆ ไม่บังคับใครหรอก แต่เชื่อทุกคนอยากเป็นครูที่ดี พยายามพูดคุยกันเสมอแหละว่า ทำงานมีแผน ดีกว่าไม่ มีแผน เตรียมการสอนดีกว่าไม่ได้เตรียมการสอน สอนแบบมีสื่ออุปกรณ์ง่ายกว่าสอนแบบไม่มีสื่อและอุปกรณ์ สอนไป วัดและ ประเมินผลไปด้วย ดีกว่าสอนโดยไม่รู้จักประเมิน ก็เลยต้องทำให้ดูว่าสิ่งที่หัวหน้าหมวดพูด เป็นสิ่งที่ทำได้ เอาแผนการสอน วิชา ศีลธรรม สื่อการสอนนักเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แผนการสอนวิชาธรรมศึกษาตรี โท เอก คู่มือการสอนวิชาธรรมะ วิชา พุทธ ประวัติ วิชาวินัย เอาไปเย็บเป็นเล่ม ๆทำปกดี ๆแล้ววางไว้บนชั้น หยิบไปอ่านได้ไม่หวง ส่วนวิชาวรรณคดีไทยกำลังเขียน อยู่ใน สมุดเบอร์ 2 มาขอดูก็ได้ ..........ทำไมหนูต้องเขียนแผนการสอน ไม่เขียนก็สอนได้ เด็กเก่งยกชั้น ทำไมหนูต้องเตรียมการสอน จำได้หมดแหละสอนสบาย ทำไมต้องทำสื่อ เสียเงินเสียงบประมาณ แล้วที่ว่าสอนไปวัดประเมินผลไปหัวหน้าทำได้เหรอ คำถามหา เรื่องทั้งนั้นแต่ไม่สนใจ หรอกเด็ก ๆจบใหม่ทั้งนั้น หัวหน้าคนเก่าโดนมาก่อนเขาเล่าให้ฟัง ประชุมประจำเดือนเจอคำถามก็บอกว่า จะพูดกันตามหลักการ ให้ฟังว่า ครูจะทำงานได้ดีถ้ามีแผน มีการเตรียมการที่ดี มีสื่ออุปกรณ์ทำงานมันก็ง่าย หลักธรรมดา ๆ ครู ทุกคนรู้จัก เวลาประเมิน ว่าครูคนไหนทำงานเก่งไม่เก่งก็ดูตามนี้ จะดูแต่นักเรียนคะแนนสูงคะแนนต่ำไม่พอหรอก เด็กห้องคิง วิชา ไหนมันก็คะแนนดีหมด เด็กห้องบ๊วยมันก็คะแนนต่ำทั้งห้อง ดังนั้นต้องดูอย่างอื่นด้วย ครูในหมวดวิชา 8 คน มีแผนการสอน 3 คน อีก 5 คนไม่มีแผนการสอน ก็ต้องให้เครดิตคนมีแผนก่อนว่า เขาทำงานมีแผน อยากดูแผนดีไม่ดีเขามาส่งก็ตรวจดูได้ เขียนส่ง ๆ หรือเขียนอย่างคนเรียนวิชา ครูมา เจอเข้าแบบนี้อึ้งกิมกี่ไปเลย พอมีการประเมินเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง พวกมีเอกสารหลักฐาน ผ่านฉลุย พวกไม่มีวิ่งหา จะหาที่ไหนมาได้ทัน ..........สอนไปประเมินไป ผมสอนต้องประเมิน เครื่องมือประเมินก็คำพูดไง สอนจบเนื้อหาตามจุดประสงค์ หยุดถามเข้าใจยัง ใครยัง สงสัยอยู่ เอ้านายแดง บอกครูซิเรื่องนี้หมายถึงอะไร นายแดงมันตอบได้ฉะฉาน แสดงว่าคนอื่นรู้หมด นายแดงนี่อ่อนสุด ในห้อง สอนไปไม่ประเมินเด็ก จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเข้าใจสิ่งที่เราสอน ครูสาวมันมายกมือไหว้เรา บอกหนูขอโทษ หนูนี่แหละ ซักเด็ก ประจำทุกคาบ ไม่รู้ว่าหนูประเมินตลอดเวลาที่สอน เดิมเข้าใจการประเมินว่าคือการสอบซึ่งมันไม่ใช่ เอาข้อสอบมาสอบ ทำไม่ได้ ทุกคาบสอนหรอก วิธีง่าย ๆมีเยอะแยะไป ..........เตรียมการสอน ไม่เห็นจำเป็นเลย ถามว่าเธอหอบไปสอนเป็นกระเป๋านั่นคืออะไร หนังสือค่ะ อ่านรึยัง อ่านแล้วค่ะ ไหนว่า จำ ได้แล้ว ก็อ่านเพื่อทบทวนกลัวหลงลืมค่ะ นี่ไงเธอเตรียมการสอนมาอย่างดี อันไหนลืมเธอก็ตรวจสอบ เพียงแต่การเตรียม การสอน ของเธอไม่มีร่องรอยให้คนเห็น ไม่เหมือนผมนะ ผมคนขี้ลืมต้องบันทึกเป็นร่องรอยเอาไว้ว่า ไปเตรียมเรื่องอะไรไว้สอนเด็ก เขียน บันทึกเป็นเอกสารประกอบการสอน ไม่ต้องอ่านอีกเลยจำได้หมด แจกให้เด็กไปอ่านกันเลย อยากเห็นการเตรียมการสอน ของ ผมคุณเอาเอกสารพวกนี้ไปตรวจดูซิ ผมอ่านอะไรบ้างดูบรรณานุกรมท้ายเอกสาร นั่งงงใหญ่เลย ต่อมาก็ได้เห็นเอกสาร ประกอบ การสอนของครูแทบทุกคน มาขอคำแนะนำวีธีเขียนเอกสารเชิงวิชาการ เราเป็นบรรณารักษ์เก่านี่นา เรื่องแบบนี้ถนัด …………8.ประสบการณ์บริหารงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการ. ........ปี 2521 หลักสูตรใหม่เข้ามา เราเรียน กศ.บ.จะจบแล้วแหละ ภาคเรียนสุดท้ายแล้ว ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการขอย้ายกลับภูมิลำเนา ที่จังหวัดชัยภูมิ เขาเลยสรรหาคนมาทำงานวิชาการกัน น้องในหมวดวิชาภาษาไทยเขียนจดหมายไปบอกว่า คณะครูเลือกพี่ไป ทำงานวิชาการ หัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทยให้ผู้ช่วยหัวหน้าหมวดทำแทน พอจบการศึกษา ยังไม่รับปริญญาเลย ก็ไปแบกงาน วิชาการ แถมเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรด้วย งานหินจริง ๆ งานที่รับผิดชอบสำคัญ ๆ คือ การบริหารหลักสูตร การจัดการ เรียนการสอน การวัดผลประเมินผลและการพัฒนาบุคลากร งานที่ได้สัมผัสช่วงที่ทำหน้าที่สิบกว่าปี ได้แก่...... ..................1.มีคณะกรรมการวิชาการ 15 คน จากหัวหน้าหมวดวิชาและหัวหน้าแผนกงาน เป็นทีมงานวิชาการ ช่วยวางแผนการ จัดหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การกำกับนิเทศ และการประเมินผล งานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ผลสำเร็จการเรียน การสอนน่าพอใจ คนรู้จักชื่อโรงเรียนศรีสงครามวิทยาดีขึ้น ผู้ปกครองสนใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนจน ต้องขยายชั้นเรียนอย่าง รวดเจ็ว จากโรงเรียนขนาดเล็ก ผ่านไปไม่กี่ปีเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ .................2. มีการส่งเสริมให้จัดห้องสอนพิเศษทุกหมวดวิชา มีสื่ออุปกรณ์พร้อม นักเรียนเดินไปเรียนตามเวลาที่ครูกำหนดเด็ก ๆ ชอบมาก เพราะสื่ออีเลคโทรนิคในห้องครูสรรหามาจัดการเรียนการสอน อ้อแข่งกันด้วย นอกจากงบโรงเรียนจัดสรรให้ ครูยังชอบ หาผู้สนับสนุนจากภายนอก เครื่องเสียง เครื่องวีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ เอกสารตำรา ไม่มีใครยอมใคร ประชุมประจำเดือนก็อวดกัน ผลการแข่งกันพัฒนาการเรียนการสอน ศึกษานิเทศมาเห็นชอบมาก อยากให้โรงเรียนต่าง ๆแข่งกันทำแบบนี้ ...............3. ส่งเสริมพัฒนาเครื่องมือวัดผลประเมินผลการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดจุดประสงค์การเรียน การสร้างแบบทดสอบ วัดคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอน การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวัดและประเมินผล ................4. ส่งเสริมการวิเคราะห์วิจัยทางการศึกษา ให้ความรู้เรื่องสถิติและวิจัย ส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน จัดทำคลังข้อมูล สนับสนุนการเขียนรายงานทางวิชาการ ................5. จัดประชุมอบรมตามความต้องการของคณะครูอาจารย์ การสร้างจุดประสงค์การสอน การเขียนแผนการสอน การ สร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล การใช้สถิติเพื่อการวิจัย การเขียนเอกสารทางวิชาการ การทำวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอน ..................จากการที่ได้สัมผัสงานด้านวิชาการที่ยกตัวอย่างมานั้น ส่งผลให้คุณภาพบุคลากรโรงเรียนมีความรู้ ประสบการณ์มาก ยิ่งขึ้น ได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรให้กลุ่มโรงเรียน เขตการศึกษาเป็นประจำ ผลการเรียนของเด็กอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สาขาศิลปะ ผลงานส่งไปประกวดระดับชาติระดับโลก พลานามัยมีนักเรียนติดระดับชาติไปซีเกม ภาษาอังกฤษมีนักเรียนสอบคัดเลือกทุน เอ.เอฟ.เอส แทบทุกปีผู้ปกครองพอใจมาก เกษตรเป็นต้นแบบหมู่บ้านนักเรียนเกษตรซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น ช.ก.ท. ..... ผ่านมา ช่วงเวลาหนึ่งต้องวางมือ ไปช่วยงานวิชาการในระดับจังหวัด ที่สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัด โดยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานบริหารหลักสูตร การเรียนการสอนและการวิจัยตามแนวที่ถนัดเหมือนเดิม แต่ขยาย ขอบเขตไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ก็เหนื่อยดี จนกระทั่งเกษียณถึงได้วางมือ จบตอนที่ ๒ เกษียนอายุราชการ 2547