วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

หน้ากฐินไปเอาบุญนำกันเด้อ

ออกพรรษาหน้ากฐิน ไปเอาบุญ  (ขุนทอง ศรีประจง)
...........วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ขึ้นเจ็ดค่ำเดือนสิบสอง อีกแปดวันก็หมดเขตจีวรกาลคือช่วง
เวลาที่พระภิกษุ หาผ้ามาตัดเย็บจีวรเพื่อผัดเปลี่ยน สมัยก่อนผ้าหายาก จะทำจีวรต้อง หาผ้าที่เขาทิ้งที่หายากมาก เพราะชาวบ้านยากจนใช้ผ้าอย่างประหยัด แต่ที่ป่าช้าหาง่ายหน่อย เพราะประเพณีห่อพันศพด้วยผ้าหลาย ๆ ชั้น ไปทิ้งป่าช้า ไม่ได้เผา สัตว์ป่ากัดแทะศพได้ยากเพราะผ้าพันแน่น จนศพเน่าเปื่อยก็เหลือแต่ผ้าห่อหุ้มโครงกระดูก  พระภิกษุไปแสวงหาผ้า ไปพบก็ช่วยกลบฝังกระดูกให้ แล้วถือเอาผ้าเปื้อนฝุ่น(ปังสุ+กูล)ไปใช้เพื่อทำจีวร ผ้าที่ได้มาเรียกกันว่าผ้าบังสุกุล เวลาเดือนเดียวหลังออกพรรษา สมัยก่อนจึงสำคัญมาก .....สมัยหนึ่งชาวบ้านเห็นความลำบากในการแสวงหาผ้ามาทำจีวร นำผ้าดี ๆ ไปทิ้งไว้ตามป่าช้าหักกิ่งไม้ทับไว้ แสดงให้รู้ว่าเป้นผ้าป่า ที่เขาทิ้งแล้ว พระมาเห็นก็เข้าใจ ชักผ้าบังสุกุลไปใช้ ผ้าป่าสมัยโน้นต้องหาที่ป่ากันจริง ๆ แต่สมัยนี้อยู่วัดผ้าป่าวิ่งไปหาหลวงพ่อเอง เลยไม่ค่อยขลังนัก  
.....จีวรกาลคือ ช่วงกำหนดเวลาสำหรับการหาผ้ามาตัดเย็บจีวรได้ผ้ามาซักล้างสะอาดดีแล้วไปเอาแบบ(กฐิน)มาวัดตัดผ้าเป็นชิ้น ๆ เพื่อเย็บเป้นกระทงเล็ก ๆเป้น แบบห้าขันธ์ เจ็ดขันธ์หรือเก้าขันธ์ตามต้องการ แล้วนำไปจัดการย้อมสีและนำไปผัดเปลี่ยน การหาผ้าใหม่ผัดเปลั้ยนนี้ จะทำให้เสร็จภายใน
หนึ่งเดือนนับแต่วันออกพรรษา จึงเรียนช่วงเวลานี้ว่า "จีวรกาล" ชาวบ้านนิยมหาผ้าไปถวายพระให้ท่านสะดวกในการแสวงหาผ้ามาทำจีวร ด้วยวิธีนำไปวางที่ป่าช้า เพราะพระมักไปแสวงหาผ้าแถวนั้น ปัจจุบันไม่ต้องไปป่าช้าแล้ว แห่ไปถวายที่วัดเลย เรียกว่าภวายผ้าป่า  ช่วงจีวกาลนี้นิยมทำบุญกฐินกัน จุดประสงค์กฐินก็คือหาผ้าไปถวายพระให้ท่านทำจีวรได้สะดวก
.......ไปทำบุญกฐินได้บุญมาก เข้าใจยังไม่ถูกดีนัก การทำบุญทุกชนิด ต้องมีการ"ทำ"ก่อนจึงจะมีบุญสำนวนชาวบ้านบอก ไปเอาบุญ คือการไปตักตวง หยิบ หิ้ว ถือ แต่ความจริงบุญต้องทำเองคนอื่นทำให้ไม่ได้บุญ ขนาดทำบุญแจกข้าว เขายังเจาะจงให้ญาติผู้ล่วงลับ ไม่ใช่ญาติก็ยากที่จะอนุโมทนารับบุญได้ อ้างเปรตญาตพระเจ้าพิมพ์สาร มารอรับส่วนบุญ ก็อนุโมทนารับไม่ได้ จนพระพุทธเจ้าแนะนำว่าทำบุญแล้วให้อุทิศบุญแห่ญาติผู้ล่วงลับไป พระเจ้าพิมพิสาร ถวายสังฆทานใหม่คราวนี้ไม่ลืมอุทิศบุญให้ญาติผู้ช่วงลับไปแล้ว เปรตญาตก็อนุโมทนารับส่วนบุญกุศลได้ ตกกลางคืนมาเข้าฝันมีเครื่องแต่งกายเป็นทิพย์ ขอบคุณพระเจ้าพิมพ์พิสารแล้วจากไป ไปไปเอาบุญกับเพื่อนบ้าน ไปอนุโมทนาเอาบุญแบบเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสารคงไม่ได้ผลหรอก เราไม่ใช่เปรตนี่นา ต้องทำบุญเองถึงจะได้ ทำทานมัยบ้าง สีลัยบ้าง และทภภาวนามัยบ้าง แค่นี้ก็ได้บุญแล้วที่ว่า ไปเอาบุญจึงจะได้บุญกลับบ้าน
.....ไปเอาบุญกฐิน ตามคำชวนของเพื่อนบ้านทำอย่างไรจะได้บุญมาก ๆ ก็อย่างที่เล่ามาแล้วบุญที่เขากองไว้ต้องรู้วิธีหยิบเอาบุญ มีทรัพย์ไปบริจาคหน่อย คือทานมัย บุญก็ได้แล้วไหว้พระรับศีล ภานามัยและสีลมัย ก็เกิดบุญ สองอย่างนี่ต้องทำแบบรู้จักนะถึงจะได้บุญ ถ้าสักแต่ว่าทำ ๆไปกะเขา อาจไม่ได้อะไร  อย่างไหว้พระก็ระลึกคุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ว่ามีคุณต่อเราอย่างไร เราปฏิบัติตนอย่างไรจึงได้คุณประโยชน์จากการนับถือ แบบนี้เรียกว่าไหว้แล้วได้บุญ ทำภาวนามัยลองหาดูมีเทศน์ไหม ฟังเทศน์ภาวนามัยเกิดง่าย ได้สติปัญญาง่ายความฉลาดหรือสติปัญญาคือบุญเกิดจากภาวนามัย นั่งฟังเทศน์สามสิบนาที แต่ไม่รู้ว่าพระเทศน์อะไรให้ฟัง บุญก็ไม่เกิดเสียเวลาเปล่า ผมไปงานกฐินได้คุยกับทายกสอบภามว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ ฟังแล้วก็ทบทวนดูหลักการทำบุญกฐิน ความฉลาดก็กลับมานี่ก็บุญคือสติปัญญา เหมือนบุญจากการภาวนานั่นเอง
......เล่ามายาวมากแล้วขอสรุปสั้น ๆว่า ไปเอาบุญตามตัวอักษร ไม่มีหรอก เพราะบุญต้องทำจึงจะได้บุญ ไปถึงงานกฐิน ทำทานมัยบริจาค ๒๐ บาท นี่ก็บุญ ก่อนเทศน์พระให้ศีลตั้งใจรับให้ดี ถือศีลแล้ว บุญจากสีลมัย ก็จะตามมา พระเทศน์เรื่องอะไร เข้าใจ ๆไหม มีอะไรเชื่อได้ ไม่น่าเชื่อ ไม่ต้องกลัวบาป พระเทศอะไรเชื่อหมด บางทีพระก็ไม่รู้หรอก ว่ากันตามตำรา เช่นทำบุญแล้วไปรับชาติหน้า ถามว่าจริงไหมหลวงพ่อ โดนเคาะกระลาสิ พระตอบไม่ได้ ถามผมตอบได้ง่าย ๆ ทานมัย โลภลดลง ทาน ๒๐ บาท ลดความโลภราคา ๒๐ ลดมันชาตินี้แหละ เวลาพระบอกอานิสงส์ศีล ก็ชัดเจนดีนี่นา  สีเลนสุคติงยันติ ดำเนินชีวิตแบบมีสุคติ คือมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข ก็ชาตินี้แหละ  สีเลนโภคสัมปทา ศีลทำให้ไม่ฟุ่มเฟือย สะสมโภคสมบัติได้ดี นี่ก็ชาตินี้เหมือนกัน  ตัสมาสีลัง วิโสธเย  ดังนั้นจงชำระศีลให้บริสุทธิ์ซะทำชาตินี้แหละ ไม่มีตรงไหนบอกให้ไปรับชาติหน้า หรือให้ไปทำชาติหน้า สรุปยาวไปแล้ว เหลือภาวนามัยการอบรมให้เกิดสติปัญญา สติปัญญาคือบุญจากภาวนามัย ภาวนาแล้วต้องได้สติปัญญาความฉลาดถึงจะเรียกว่าได้บุญ ยิ่งภาวนายิ่งงมงาย บุญไม่เกิดซักที เสียเวลาเปล่า ๆดูส่งลูกหลานไปเรียนสิ นั่นแหละไปอบรมสอบตกแล้วตกอีก เพราะไม่ได้ปัญญาถึงเกณฑ์ สอบตกเป็นว่าเล่น ถ้ามันภาวนามัยสำเร็จ เดี๋ยวก็จบประถม จบมัธยม จบอุดมศึกษา จบชาตินี้นะ ลูกคนไหนบอกภาวนามัยประถมมัธยมแล้ว จะไปจบรับวุฒิบัตรชาติหน้า โดนแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น